เสรี พงศ์พิศ FB Seri Phongphit โลกกำลังรบสงครามที่พ่ายแพ้ (fighting a loosing battle) ทั้งกับโรคระบาดและกับความขัดแย้ง สงคราม “ไฮบริด” เศรษฐกิจการเมือง ที่ควรเรียกว่าสงคราม “โลก” ยุคใหม่ เพราะมีผลกระทบไปทั่วโลกอย่างรุนแรง เกิดความเสียหายใหญ่หลวง ทำให้คนตายจริงและตายทั้งเป็นแบบประเมินมิได้ สองปีเศษของโควิด-19 ทำให้เราเล่นเอาเถิดกับไวรัสตัวนี้ ที่คงอยู่ไปอีกนาน โดยยอมรับให้เป็นโรคประจำถิ่นตามฤดูกาลสถานที่เหมือนไข้หวัดใหญ่ ที่ทำให้เจ็บป่วยหรือตายตามสภาพร่างกายของแต่ละคน เพียงเดือนเศษของสงคราม “รัสเซีย-ยูเครน” หายนะเกิดกับทั้งยูเครน รัสเซีย อเมริกา ยุโรป และทั่วโลก เป็นสงครามที่มี “ฝ่ายรัสเซีย” กับ “ฝ่ายยูเครน” แต่ละฝ่ายมี “พันธมิตร” ทั้งแบบใกล้ชิดหรือแบบห่างๆ ที่มีส่วนร่วมแบบซับซ้อนเสมือนจริงและจริงยิ่งกว่าการร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่ 2 แนวรบของสงครามโลกครั้งนี้เป็นสงครามข้อมูลข่าวสาร สงครามเศรษฐกิจ สงครามการเมืองระหว่างประเทศและพันธมิตร ที่สู้กันแบบ “ตาต่อตา ฟันต่อฟัน” ซึ่งมหาตมะคานธีทำนายไว้นานแล้วว่า ที่สุดก็ตาบอดและฟันหักทั้งคู่ นอกจากคนตายหลายพันหลายหมื่น บ้านเรือน โครงสร้างพื้นฐานถูกทำลายที่ยูเครน คนอพยพจากบ้านเกิดนับสิบล้าน จากมาตุภูมิกว่า 3 ล้าน เศรษฐกิจของรัสเซีย ของอเมริกา ยุโรป ก็ได้รับผลระทบอย่างรุนแรง เรื่องการเงิน เรื่องพลังงาน เรื่องอาหาร การสื่อสาร ปัจจัยสี่ ที่มีการนำเข้าส่งออกแลกเปลี่ยนกันระหว่างประเทศเหล่านี้ได้กลายเป็นอาวุธสำคัญ เพราะรัสเซียผลิตก๊าซได้ถึงร้อยละ 12 และน้ำมันร้อยละ 25 ของโลก เยอรมนีพึ่งก๊าซธรรมชาติจากรัสเซียร้อยละ 55 ถึงไม่ยอมบอยคอตเรื่องพลังงานจากรัสเซีย เพราะเท่ากับขว้างบูมเมอแรง แค่รัสเซียประกาศให้จ่ายค่าก๊าซ ค่าข้าวสาลี ปุ๋ยเคมี แร่ธาตุ และสินค้าสำคัญอื่นๆ ด้วยเงินรูเบิล เยอรมนีและอียูก็กระอัก ค่าเงินรูเบิลแข็งขึ้น กลับมาแทบจะอยู่จุดเดิมที่อ่อนตัวลงกว่าร้อยละ 50 แต่รัสเซียก็กระอักไม่น้อย เพราะ “ถูกรุม” เกิดข้าวยากหมากแพง เงินเฟ้อ ถ้าไม่ขายน้ำมันขายก๊าซและอื่นๆ ก็จะไม่มีเงินทำสงครามและบริหารบ้านเมือง บ่อก๊าซบ่อน้ำมันถ้าปิดไปก็จะกลับมาเปิดได้อีกยาก ปรากฏการณ์โควิดและรัสเซีย-ยูเครน ให้บทเรียนสำคัญเหมือนกันอย่างหนึ่งว่า โลกอ่อนแอทั้งทางร่างกายจิตใจ ทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง เจ็บป่วยด้วยโรค “ภูมิคุ้มกันทางจิตวิญญาณบกพร่อง” (spiritual immune deficiency syndrome) แปลว่า “คนปกติ” ไม่น่าจะสร้างปัญหาให้ตัวเองได้มากมายขนาดนี้ ถ้ารู้ที่มาสาเหตุลึกสุด น่าจะนำไปสู่ทางออกที่สูงสุด ที่ควรเริ่มจาก “สามัญ” หรือ “ขั้นพื้นฐาน” ว่าจะสร้างภูมิคุ้มกันชีวิตที่รอบด้านได้อย่างไร ไม่รอแต่จะรื้อระบบ สร้างระเบียบโลกใหม่แบบถอนรากถอนโคน โควิดให้บทเรียนสำคัญว่า การมีภูมิคุ้มกันตามธรรมชาตินั้นดีที่สุด ดีกว่าวัคซีนไม่ว่ายี่ห้อไหนและฉีดกี่เข็ม เพราะฉีดอะไร เท่าไร ก็ยังติดได้ แพร่ได้ แต่ถ้ามีภูมิต้านทานดี ติดก็ไม่ป่วยมาก ไม่ตาย คนมีภูมิต้านทานดีได้ด้วยการจัดการชีวิต โดยเฉพาะเรื่องการกิน ที่ควรกินเพื่ออยู่ ไม่ใช่อยู่เพื่อกินอย่างที่สังคมบริโภคยุยงส่งเสริม เพื่อธุรกิจจะได้โตขึ้นทุกปี และก็โตตามเป้าหมาย ดูได้ที่คนเป็นโรคอ้วนหนึ่งในสาม น้ำหนักเกินกว่าครึ่งของประชากรเกือบทุกประเทศ พร้อมกับโรคไม่ติดต่อ (NCDs) ร้ายแรงอย่างมะเร็ง เบาหวาน หัวใจ เส้นเลือดตีบตัน อัมพฤกษ์อัมพาต อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ด้วยสภาพร่างกาย “ขี้โรค” แบบนี้ โควิดหรือไวรัสใดมาจู่โจมจะเหลืออะไร ขณะที่คนเราเลิกโตตั้งแต่อายุ 30 แล้ว แต่ธุรกิจบังคับให้คนบริโภคแบบไร้ขีดจำกัด ที่ถูก คนควรกินเพื่อรักษาสุขภาพให้สมดุล อยู่ยืนยาวอย่างมีคุณภาพ ไม่ใช่เสพติดการกิน ที่แก้ยากกว่าเสพติดทุกชนิด จนที่สุดไม่ต้องแก้ เพราะอาจต้องนอนติดเตียงให้ป้อนข้าวป้อนน้ำแต่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น สงครามมายืนยันว่า อาหารและพลังงาน คือ ปัจจัยสำคัญที่สุด เป็น “ยุทธปัจจัย” ใครมีอยู่อย่างพอเพียงก็ได้รับผลกระทบน้อย เยอรมนีจึงเปิดแผนรับมือครั้งใหญ่กับการ “พึ่งตนเอง” ในสองปัจจัยนี้ แม้ว่าวันนี้จะสายไปแล้วก็ตาม แต่วันหน้าถ้าเกิดวิกฤติ ไม่ว่าสงครามหรือภัยพิบัติ ก็จะมี “ตาข่ายความปลอดภัย” (safety net) รองรับ ความจริง ตั้งแต่โควิดระบาดปีแรก จีนและหลายประเทศในยุโรปประกาศว่า ต้องวางแผน “พึ่งตนเอง” ให้ได้มากที่สุด นี่คือนิวนอร์มอล และระเบียบโลกใหม่ของจริง เพราะโควิดกับสงครามได้ทำให้โลกาภิวัตน์เสื่อมมนต์ขลัง แม้ยังไม่แตกสลาย แต่ต้องปรับความสัมพันธ์กันด้วย “จิตวิญญาณใหม่” (new spirit) บ้านเราโชคดีที่มีศักยภาพที่จะพึ่งตนเองได้ทั้งด้านอาหารและพลังงาน แต่โชคร้ายที่เราไม่มียุทธศาสตร์ที่ชัดเจน หรือมีก็เพียงแปะไว้ข้างฝา ไม่ได้มีเจตจำนงทางการเมือง (political will) จริงจังอะไร บ้านเราผลิตอาหารไปเลี้ยงคนในโลกได้ แต่เกษตรกรเลี้ยงตัวเองไม่ได้ เพราะนโยบายรัฐที่ผิดพลาดและไม่เหมาะสม เอาแค่ข้าวที่เรามีพื้นที่ปลูกมากกว่าเวียดนามสองเท่า แต่ผลิตข้าวได้น้อยกว่าเวียดนามสองเท่า เราไม่มีแผนการพึ่งตัวเองด้านอาหารอย่างจริงจัง ยิ่งเรื่องพลังงานยิ่งซับซ้อนซ่อนเงื่อน ผลประโยชน์มหาศาลของผู้เกี่ยวข้อง บนความทุกข์ของประชาชน ที่ต้องใช้น้ำมันแพง ทั้งๆ ที่เราผลิตน้ำมันดิบเองได้ ส่งออกอีกต่างหาก มีก๊าซอีกมหาศาล ยังมีพลังงานบนฟ้า บนดิน ใต้ดินอีกมากมาย อย่างแสงอาทิตย์ ลม พืช ปาล์ม อ้อย มัน หญ้า ไผ่ และพืชเกษตรอื่นๆ ซึ่งพัฒนาได้ตั้งแต่วันนี้ที่ไทยก็ได้รับผลกระทบจากทั้งโรคระบาดและสงคราม เพราะพึ่งตนเองด้านพลังงานไม่ได้ ราคาน้ำมันพุ่งขึ้น ระบบเศรษฐกิจอ่อนแอ ไม่มีอะไรรองรับ แทนที่จะแจกเงินในโครงการต่างๆ เหมือนแจกยาแก้ปวด บ้านเราน่าจะส่งเสริมการสร้างระบบสุขภาพของบุคคล ครอบครัวแบบบูรณาการ ด้วยการรวมพลังทั้งชาติ ไม่ใช่ให้ สสส.ส่งเสริมสุขภาพแต่ผู้เดียว ส่งเสริมระบบเศรษฐกิจชุมชนให้พึ่งตนเองด้านอาหารและพลังงาน บ้านเมืองจะรอดจากภัยพิบัติได้ ไม่ว่าโรคระบาด สงคราม หรือภัยธรรมชาติ