แสงไทย เค้าภูไทย การเปิดโปงขบวนการค้ามนุษย์ กรณีลักลอบนำเข้าผู้อพยพโรฮีนจาจำนวนเรือนแสนโดยมีบิ๊กป้อม ถูกพาดพิงกลายเป็นระเบิดเวลาลูกใหญ่ที่รอวันระเบิด เหตุมีการนำเสนอบทสัมภาษณ์อดีตนายตำรวจผู้ทำคดีจนนายทหารระดับนายพลที่เกี่ยวข้องติดคุก ส่วนตนเองต้องลี้ภัยไปอยู่ออสเตรเลีย ปัญหาวิกฤตโรฮีนจาเป็นปัญหาระดับโลก ในด้านมนุษยธรรม โรฮีนจาเป็นชนชาติพันธุ์หนึ่งในเมียนมา ตั้งรกรากอยู่ในแคว้นยะไข่ ต่อมาถูกรัฐบาลเมียนมาปราบปรามอย่างรุนแรงจนทำให้ต้องอพยพลี้ภัย การปราบปรามเกิดขึ้นในรัฐบาลนางออง ซาน ซูจี ด้วยเหตุผลโรฮีนจากระด้างกระเดื่องและพยายามแยกตัวเป็นรัฐอิสระ มีการสู้รบกันรุนแรง โรฮีนจาเป็นมุสลิม จึงนอกจากสู้กับทหารรัฐบาลเมียนมาแล้ว ยังมีการเผาทำลายวัดพุทธศาสนา เข่นฆ่าชาวพุทธเมียนมาอีกด้วย เมียนมาถือศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ ชาวพม่าส่วนใหญ่เคร่งศาสนามาก เมื่อศาสนสถานพุทธถูกเผา ถูกทำลาย พระพุทธรูปถูกบั่นเศียรไปทั่ว ทหารเมียนมาก็ยิ่งทวีความรุนแรงในการปราบปรามยิ่งขึ้น ความรุนแรงที่เกิดขึ้น ทำให้โลกภายนอกมองว่ารัฐบาลกระทำการทารุณชนกลุ่มน้อย ละเมิดสิทธิมนุษยชน เป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ นางออง ซาน ซูจี ที่เคยได้รับรางวัลระดับโลกต่างๆนานา โดยเฉพาะรางวัลโนบลสาขาสันติภาพ ถูกเรียกคืนหมด การสู้รบเข่นฆ่าเกิดขึ้นราวเดือนสิงฟหาคม 2017 ต่อเนื่องมาจนถึง 2020 จึงค่อยสงบลง เมื่อโรฮีนจาอพยพลี้ภัยออกไปเกือบหมด ประชากรโรฮีนจาในเมียนมามีอยู่ราว 1 ล้านคน โดยอาศัยอยู่ในรัฐยะไข่มากที่สุด โรฮีนจามิใช่ชนดั้งเดิมของเมียนมา หากแต่เข้ามาในยุคพม่าครั้งเป็นอาณานิคมของอังกฤษ เมื่อพม่าพยายามต่อสู้เพื่อเป็นเอกราช นำโดยนายพลออง ซาน บิดาของนางออง ซาน ซูจี อังกฤษก็นำกองทัพที่เกณฑ์มาจากแคว้นเบงกอล ของบังกลาเทศ ก็คือกองกำลังโรฮีนจานี่เอง เข้ามาปราบ แต่ไม่สำเร็จ จนในที่สุดอังกฤษจต้องยอมให้พม่าเป็นเอกราช นายพลอองซานกลายเป็นวีรบุรุษและเป็นประธานาธิบดีคนแรกของสหภาพพม่า อย่างไรก็ดี ในพม่ายังมีการชิงดีชิงเด่น นายพลอองซาน ถูกลอบสังหาร การเมืองพม่าถูกทหารครอบงำมาจนถึงทุกวันนี้ การที่อังกฤษทิ้งโรฮีนจาไว้ที่พม่าในตอนนั้น คล้ายจะเป็นหอกข้างแคร่ โดยชาวโรฮีนจา เองก็ทำตัวไม่ค่อยเป็นมิตรกับชาวพม่ามากนัก ขณะเดียวกันก็ผลิตลูกหลานออกมาหนาแน่นขึ้นทุกที ทำให้ชาวพม่าเกลียดชังระแวงชาวโรฮีนจามาก มีการกระทบกระทั่งครุกรุ่นตลอดมา นอกจากจะเข้ามากับกองทัพอังกฤษครั้งปราบการต่อสู้เพื่อเอกราชแล้ว มุสลิมบังคกาเทศยังลักลอบเข้ามาเติม ทั้งชาวบ้านที่เข้ามาหาที่ทำกินบนแผ่นดินเมียนมา เหตุภูมิอากาศอ่าวเบงกอลทวีความรุนแรง ด้านน้ำท่วม พายุฝน ไต้ฝุ่นฯลฯ อีกด้าน กลุ่มมุสลิมสุดโต่ง พวกหัวรุนแรงที่เรียกตัวเองว่า ISIS ที่ปลุกกระแสคลั่งอิสยลาม ( Islamophobia) เพื่อทำสงครามศักดิ์สิทธิ ยังทะลักข้ามพรมแดนเข้ามาฝังตัวและปลุกปั่นชาวโรฮีนจาหรือเบงกาลีดั้งเดิมอีก ชาวพุทธิเมียนมาอดรนทนไม่ได้ จึงจัดตั้งกลุ่มพุทธินิยมขึ้น โดยมีผู้นำกลุ่มเป็นพระสงฆ์ชื่อพระวีระธู ออกมาต่อต้าน เรียกร้องให้รัฐบาลคุมกำเนิดชาวโรฮีนจา เพราะหากปล่อยให้แพร่พันธุ์กันหนาแน่นในอัตรานี้ ในไม่ช้าพลเมืองมุสลิมจะกลายเป็นชนส่วนใหญ่ของเมียนมา มีการปะทะกันระหว่างสองศาสนาเป็นประจำ เนื่องจากโรฮีนจาก็ตั้งกองกำลังของตนขึ้นมาที่เรียกว่า Rohingya Arsa ดังกล่าว จนถึง 20 สิงหาคม 2017 กองกำลัง Rohingya Arsa ได้ทำการเผาสถานีตำรวจในยะไข่ถึง 30 แห่ง ที่กลายเป็นชนวนให้กองทัพพม่าส่งกำลังเข้ามาปราบปราม ชาวพุทธพม่าพากันเดินขบวนสนับสนุนทหารให้ทำการปราบปรามโรฮีนจาให้สิ้นซาก ทหารเมียนมาทำตามการเรียกร้อง ซึ่งนอกจากสังหารกองกำลังติดอาวุธของโรฮีนจาแล้ว ยังลามถึงการสังหารพลเรือน เผาบ้านเรือนไปทั่ว โรฮีนจาไม่สามารถทนอยู่ในเมียนมาได้ จึงพากันอพยพออกนอกประเทศ โดยทางบกข้ามพรมแดนไปบังกลาเทศ ทางเรือล่องลงมาย่านอาเซียน ช่วงนั้นองค์การสิทธิมนุษยชนต่างๆ พากันเรียกร้องให้ประเทศมุสลิมรับโรฮีนจาอพยพไปตั้งหลักแหล่ง ปากีสถาน ซึ่งเคยเป็นชาติเดียวกันกับบังกลาเทศไม่ยอมรับ อ้างว่าโรฮีนจาเป็นชาติพันธุ์หนึ่งของบังกลาเทศ ก็คงวรกลับไปอยู่บังกลาเทศ น่าจะเป็นเช่นนั้น เพราะชาวปากีสถานเป็น “แขกขาว” คือกระเดียดไปทางอาหรับ ขณะที่ชาวบังกลาเทศเป็น “กะเร็งดำ”ตัวเล็ก ผิวดำ บังกลาเทศจำต้องรับโรฮีนจาอพยพ แต่มีสถานะเป็นผู้อพยพเท่านั้น มิใช่ให้ตั้งรกรากเป็นพลเมืองของบังกลาเทศ โดยให้อยู่แต่ในค่ายอพยพ มีการเรียกร้องให้เมียนมารับชาวโรฮีนจากลับ แต่ทั้งเมียนมาและชาวโรฮีนจาต่างไม่ยอมรับ โดยชาวโรฮีนจาขอปลักประกันว่า หากกลับไปอยู่เมียนมา รัฐบาลเมียนมาจะต้องให้หลักประกันในความปลอดภัย ส่วนรัฐบาลเมียนมาและกองทัพ ก็อ้างว่า ไม่สามารถให้ความคุ้มครองชาวโรฮีนจาได้ เนื่องจากชาวพุทธเมียนมายังโกรธแค้นชาวโรฮีนจาที่เคยอาลวาดเผาวัดพุทธ ทำร้ายพระและชาวพุทธอยู่ รัฐบาลบังกลาเทศเองก็กระอักกระอ่วนใจ เพราะผู้อพยพโรฮีนจามักจะเล็ดลอดหนีออกจากค่ายเพื่อลักลอบไปอยู่ประเทศอื่น อย่างเช่น ล่องเรือมาไทย มามาเลเซีย อินโดนีเซียเป็นต้น ยิ่งกว่านั้น ชาวโรฮีนจายังไม่ยอมคุมกำเนิด โดยอ้างหลักศาสนาอิสลาม ที่ห้ามคุมกำเนิด จึงพากันผลิตลูกเด็กเล็กแดงออกมามากมาย ค่ายอพยพแน่นขึ้น ช่วงปีแรกๆของการอพยพ บังกลาเทศยังพอเปิดรับอยู่ แต่ราวปี 2019 รับไม่ไหว ในจำนวนผู้อพยพ 600,000 คน มีสตรีตั้งครรภ์ถึง 70,000 คน บังกลาเทศจึงไม่ยอมรับผู้อพยพเพิ่ม เรือผู้อพยพมา ก็ให้แค่แวะแล้วผ่านไป นี่คือสาเหตุที่ผู้อพยพโรฮีนจาข้ามมาแหลมมาลายู ซึ่งมาเลเซีย แม้เป็นมุสลิมด้วยกัน แต่ก็ไม่ยอมรับเข้าประเทศ จะมีก็แต่ไทยนี่แหละ ที่ตามที่พลตำรวจตรีปวีณ พงศ์สิรินทร์ ผู้ทำคดีลักลอบนำเข้าผู้อพยพโรฮีนจาระบุว่า มีการนำเข้าโรฮีนจาถึง 300,000 คน โดยมีค่าหัวคนละถึง 50,000 บาท มีผู้ต้องหาคดีนี้ถึง 153 คน จับกุมได้ 91 ราย ในจำนวนนั้นเป็นทหารยศพลโทที่ถูกตัดสินและติดคุก ไปเสียชีวิตในคุก 1 คน นี่เองที่เป็นสาเหตุให้พล.ต.ต.ปวีณอยู่เมืองไทยไม่ได้ ต้องลี้ภัยไปอยู่ออสเตรเลีย สื่อนอกที่รู้ระแคะระคายเรื่องคดีค้ามนุษย์ที่พล.ต.ต.ปวีณ ทำนั้นโยงใยไปถึงคนใหญ่คนโตระดับซูเปอร์บิ๊ก จึงสัมภาษณ์และนำเผยแพร่ไปทั่วโลก กลายเป็นระเบิดเวลาลูกใหญ่ที่จะรอให้จุดชนวนหรือระเบิดเองตามเงื่อนไขแวดล้อม