ทวี สุรฤทธิกุล

ตอนแรกทักษิณก็ “ขึ้นเห่อ” ในสายตาของคนเมือง สุดท้ายไปรุ่งเรืองกับคนชนชบท

ถ้าจำไม่ผิด หลังเหตุการณ์พฤษภาคม 2535 จบลง กระแสคนเมืองก็เรียกร้องให้มีการ “ปฏิรูปการเมือง” ผู้เขียนซึ่งเวลานั้นเป็นอาจารย์ในสาขาวิชารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช มาได้สัก 5 ปี ก็รู้สึกคันไม้คันมือและได้ร่วมขบวนการอยู่ในหลาย ๆ กิจกรรม โดยกิจกรรมหนึ่งที่ทำในทางวิชาการที่มหาวิทยาลัยก็คือ การจัดเวทีเสวนาและอภิปรายทางวิชาการ ในหัวข้อ “การเมืองน้ำใหม่” ขึ้นต่อเนื่องกันหลายเดือน ซึ่งก็ได้รับความสนใจจากคอการเมืองพอสมควร

วิทยากรท่านหนึ่งที่เป็นนักวิชาการรุ่นพี่ของผู้เขียน(ขออนุญาตที่จะไม่เอ่ยนาม)ได้พูดถึง “นักการเมืองดาวรุ่ง” คนหนึ่ง ชื่อว่า พันตำรวจโท ดร.ทักษิณ ชินวัตร ด้วยการอ้างหนังสือที่มีผู้เขียนถึงนักการเมืองหน้าใหม่คนนี้ ว่าเขาคือ “อัศวินคลื่นลูกที่ 3” ผู้ประสบความสำเร็จในทางธุรกิจอย่างมหัศจรรย์ เป็น “ความหวังใหม่” ของสังคมไทย และกำลังจะเข้ามาร่วมกับพรรคพลังธรรมของพลตรีจำลอง ศรีเมือง จึงเป็นความหวังของการเมืองไทยด้วยอีกทางหนึ่ง เรียกว่า ดร.ทักษิณใน พ.ศ.นั้น “ดี เด่น ดัง” เอามาก ๆ

ใน พ.ศ. 2537 ดร.ทักษิณก็ได้เข้ามาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในนามพรรคพลังธรรม ด้วยอายุที่หนุ่มมาก ๆ เพียง 45 ปี และในปีต่อมาก็ได้เป็นหัวหน้าพรรคพลังธรรม ท่ามกลางข่าวลือว่าเกิดจากการ “เซ้งพรรค” ทำให้ ดร.ทักษิณได้ขึ้นเป็นรองนายกรัฐมนตรี ซึ่งถ้าใครจำได้รองนายกรัฐมนตรีท่านนี้เป็นผู้ประกาศว่าจะแก้ปัญหาการจราจรของกรุงเทพมหานครให้ได้ภายใน 6 เดือน ต่อพอเวลาผ่านไปการจราจรก็ยังติดขัดเหมือนเดิม รองนายกรัฐมนตรีหนุ่มคนนี้จึงได้รับฉายาจากสื่อมวลชนยุคนั้นว่า “ลิเก”

อย่างไรก็ตามเขาก็อยู่มาจนถึงการยุบสภาในปี 2539 แล้วพอมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ 2540 ดร.ทักษิณก็ได้ตั้งพรรคไทยรักไทยในปี 2541 และในการเลือกตั้งครั้งแรกใน พ.ศ. 2544 ก็ได้ ส.ส.เข้ามาเป็นจำนวนมากที่สุด ทำให้ได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล และ ดร.ทักษิณได้เป็นนายกรัฐมนตรี จากนั้นก็ได้มีความพยายามที่จะ “ฮุบ” พรรคต่าง ๆ ให้เข้ามาอยู่ในพรรคไทยรักไทย จนถึงการเลือกตั้งปี 2548 เขาก็นำพรรคไทยรักไทยชนะเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย พร้อมกับจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างมากที่เด็ดขาด แต่ก็ต้องมาตกม้าตายด้วยเล่ห์กลตื้น ๆ ทางธุรกิจ ในเรื่องการขายหุ้นที่ไม่ต้องเสียภาษีสักบาทเดียว นำมาสู่การชุมนุมต่อต้านรัฐบาล แม้ว่ารัฐบาลจะยุบสภาและให้มีการเลือกตั้งใหม่ในตอนต้นปี 2549 การชุมนุมต่อต้านก็ไม่มีทีท่าว่าจะยุติ กระทั่งศาลรัฐธรรมนูญได้ยุบพรรคไทยรักไทยด้วยเหตุที่มีการจ้างพรรคเล็กให้ลงเป็นคู่แข่งเมื่อตอนต้นปีนั้น กระนั้นการชุมนุมก็รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ อันนำมาสู่การรัฐประหารในวันที่ 19 กันยายน 2549 พร้อมกับมีการตั้งขอหาทุจริตมากมายให้กับ ดร.ทักษิณ กระทั่งมีการตัดสินไปแล้วบางคดี ที่ทำให้ ดร.ทักษิณ ได้ชื่อว่าเป็น “อดีตนายกฯนักโทษหนีคดี” อยู่ในทุกวันนี้

ไม่กี่วันมานี้ผู้เขียนได้พบการสนทนาในไลน์กลุ่มกลุ่มหนึ่ง ที่มีคนนำเรื่องที่นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครคนใหม่ ได้ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีน้ำท่วมหนักหลังฝนตกในกรุงเทพมหานคร ว่าถ้าน้ำท่วมก็ขอให้คนกรุงเทพฯทำงานอยู่ที่บ้าน แล้วก็มีความเห็นในไลน์นั้นตามมามากมาย แต่สรุปได้ไปในทำนองเดียวกันว่า “เป็นผู้ว่า 14 ล้านเสียง คิดได้เพียงแค่นี้หรือ” บางคนถึงขั้นให้คืนตำแหน่งผู้ว่าฯนี้เสีย แล้วให้นายชัชชาติกลับไปทำงาน “ที่ชอบ ๆ” ที่บ้าน

นายชัชชาติถือได้ว่าเป็นคนรุ่นใหม่ที่เป็นความหวังของสังคมไทยได้อีกคนหนึ่ง จากชื่อเสียงของเขาที่มีมาตั้งแต่ครั้งที่ได้ร่วมรัฐบาลเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ใน พ.ศ. 2555 โดยได้รับฉายาว่า “บุรุษที่แข็งแกร่งที่สุดในปถพี” จากภาพลักษณ์ของคนที่ขยันขันแข็งในการทำงานแบบดินดิน ด้วยการเดินและวิ่งที่มีถุงกับข้าวอยู่ในมือ รวมถึงที่เขามีรูปร่างหน้าตาคล้าย ๆ กับ “ฮัลก์” ซุปเปอร์ฮีโร่ในทีมอเวนเจอร์ของภาพยนตร์ฮอลลีวูด ก็ยิ่งทำให้เขามีภาพลักษณ์เป็นที่จดจำ และต่อเนื่องมาจนถึงการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครคั้งล่าสุด ที่เขาชนะการเลือกตั้งด้วยคะแนนมหาศาลกว่า 13 ล้านเสียง

โชคร้ายที่นายชัชชาติยังถูกเชื่อมโยงไปว่า มีเครือข่ายความสัมพันธ์กับพวกคนเสื้อแดงและระบอบทักษิณ รวมถึงพวกกลุ่มสามกีบและกลุ่มคนที่เกลียดชังรัฐบาลในปัจจุบัน โดยที่คนพวกนี้ก็พยายามทั้งที่จะโค่นล้มรัฐบาลและมีกิจกรรมที่กระทบไปถึงสถาบัน ทำให้นายชัชชาติอยู่ในสภานะที่ล่อแหลม เพราะไม่อาจจะแสดงตัวตนที่แท้จริงออกมาได้ เนื่องจากคะแนนเสียงของเขาที่ได้มาก็ได้มาจากคนในกลุ่มเหล่านี้เป็นส่วนใหญ่ แล้วยิ่งการเมืองของไทยในขณะนี้เป็นสงครามอย่างที่เรียกว่า “ไซเบอร์วอร์” ที่สู้รบกันในโซเชียลมีเดียเป็นหลัก ก็ยิ่งทำให้นายชัชชาติถูกจับไปให้อยู่ในฝ่ายที่ตรงกันข้ามกับรัฐบาล ซึ่งโดยนายชัชชาติจะรู้เห็นเป็นใจด้วยหรือไม่ก็ตาม นายชัชชาติก็ได้ถูกดึงเข้าไปทำสงครามกับรัฐบาลจากอีกฝ่ายหนึ่งนั้นไปทั้งตัวแล้ว

จึงมีการวิเคราะห์อนาคตทางการเมืองของนายชัชชาติว่า นายชัชชาติอาจจะถูกดันให้ขึ้นไปนำทัพของกลุ่มการเมืองที่อยู่ตรงข้ามรัฐบาล หรือต้องการที่จะเอาชนะรัฐบาลในการเลือกตั้งครั้งต่อไป โดยอาศัยเหตุที่ว่านายชัชชาติมีปัญหากับคนกรุงเทพฯ และเพื่อเป็นการพิสูจน์ตัวของนายชัชชาติเอง ว่ามีความสามารถที่จะทำงานใหญ่ ที่ใหญ่มากกว่างานในท้องถิ่นอย่างกรุงเทพมหานคร รวมถึงเพื่อที่จะแสดงถึงพลังที่ว่า “แข็งแกร่งที่สุดในปถพี” นั้นยังเป็นแบรนด์ที่ติดตัวเขาอยู่อย่างไม่เสื่อมคลาย เขาก็อาจจะตัดสินจลงเล่นการเมืองในระดับชาติต่อไปก็ได้

การที่นายชัชชาติจะลาออกจากผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครเพื่อไปเล่นการเมืองในระดับชาติน่าจะมีปัญหามาก ๆ อย่างแน่นอน ทั้งคนกรุงเทพฯที่ออกมาโห่ฮาถึงความไม่รับผิดชอบและทิ้งงานกลางคัน แต่ก็อย่าลืมว่าคนกรุงเทพฯที่เลือกนายชัชชาตินั้นก็เป็นพวกที่ไม่เอารัฐบาลอยู่เป็นส่วนมาก ถ้านายชัชชาติจะลาออกไปเพื่อทำงานที่ “ใหญ่กว่า – สำคัญกว่า” ก็น่าจะได้รับการสนับสนุนจากคนกรุงเทพฯในจำนวนนั้นด้วย และเมื่อรวมกับที่พวกเขาคาดหวังที่จะให้นายชัชชาตินำทัพสู้กับรัฐบาลด้วยแล้ว ซึ่งถ้าหากชนะการเลือกตั้งได้อย่างถล่มทลายเหมือนกับที่นายชัชชาติทำได้ในกรุงเทพฯ พวกเขาก็คิดว่าน่าจะเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ามหาศาลเช่นกัน

เรื่องนี้ไม่ได้ชี้โพรงให้กระรอก แต่ถ้ามีใครนำไปบอกคนแดนไกล เขาอาจจะไม่ต้องเอาลูกสาวคนสุดท้องนั้นไปเสี่ยง รวมถึงที่อยากรู้ใจคนไทยว่าจะคิดได้เพียงแค่นี้จริง ๆ หรือ?