เสือตัวที่ 6

การก่อเหตุรุนแรงพร้อมๆ กันไม่น้อยกว่า 17 จุด ในพื้นที่ปลายด้ามขวานของไทยที่ผ่านมา บ่งบอกอย่างชัดเจนให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ว่า วิธีคิดตามความเชื่อของกลุ่มคนที่ทรงอิทธิพลในพื้นที่ที่สิงสถิตอยู่ในคนกลุ่มนี้ ไม่ได้แปรเปลี่ยนไปแม้แต่น้อย จังหวะเวลาที่คนกลุ่มนี้จะสั่งการให้กองกำลังติดอาวุธที่ถูกฝึกฝนมาเป็นอย่างดีในขบวนการร้ายเหล่านี้จึงสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาที่จะมีโอกาสเอื้ออำนวยในการลงมือปฏิบัติการที่คนในขบวนการนี้ ต้องปฏิบัติการสำเร็จตามแผนและต้องไม่มีการสูญเสียของคนในขบวนการแม้แต่คนเดียว นี่คือเจตนารมณ์สูงสุดในการก่อเหตุร้ายสร้างสถานการณ์ความไม่สงบให้คงดำรงอยู่ในพื้นที่ขัดแย้งแห่งนี้ หากทว่าห้วงเวลาใด ที่ยังไม่สบโอกาสเหมาะตามเจตนารมณ์ดังกล่าว คนกลุ่มนี้ก็จะยังไม่ปฏิบัติการร้าย แต่พวกเขาอดทนพอที่จะรอคอยเวลาที่จะสร้างความเสียหายให้เป็นที่ประจักษ์ชัดให้มาถึงเสียก่อนจึงจะลงมือทำ

เหตุการณ์กลุ่มคนร้ายในขบวนการก่อความไม่สงบ อาจหาญรวมพลังก่อเหตุพร้อมๆ กัน ถึง 17จุดเป็นอย่างน้อยในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เมื่อกลางเดือนสิงหาคมที่ผ่านมานั้น จึงส่งสัญญาณให้เห็นว่า คนกลุ่มนี้ยังมีศักยภาพไม่ลดน้อยถอยลง ความสามารถในการปฏิบัติการวางเพลงสถานีจ่ายน้ำมันและร้านสะดวกซื้อในพื้นที่ที่ไม่เคยตกเป็นเป้าหมายการก่อเหตุร้ายของขบวนการแบ่งแยกดินแดนมาก่อน ย่อมบ่งชี้ว่า คนกลุ่มนี้ต้องการส่งสัญญาณในการต่อต้านระบบทุนนิยมที่เข้ามากอบโกยเอารัดเอาเปรียบพี่น้องของพวกเขาในพื้นที่มากขึ้น ด้วยการลอบวางระเบิดและเผาทำลายเป้าหมายทุนนิยมดังกล่าวพร้อมกันใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้  ย่อมเป็นปฏิบัติการที่ไม่ธรรมดาโดยเกิดขึ้นรวมทั้งหมด 17 จุด แบ่งเป็น นราธิวาส 9 จุดยะลา 6 จุด, ปัตตานี 2 จุด สร้างความเสียหายทั้งทางเศรษฐกิจและความมั่นคงในพื้นที่แห่งนี้อย่างกว้างขวาง

โดยพื้นที่เป้าหมายส่วนใหญ่เป็นร้านสะดวกซื้อ นอกจากนั้นยังมีสถานีจ่ายน้ำมัน ตลอดจนเสาส่งสัญญาณโทรศัพท์ ที่กลุ่มขบวนการสามารถปิดลับปฏิบัติการวางแผนดังกล่าว ตลอดจนซักซ้อมแผนให้กลุ่มผู้ก่อการสามารถปฏิบัติการได้พร้อมกันทั้ง 17 จุดอย่างมืออาชีพ พร้อมกันนั้นยังชี้ให้เห็นว่าการข่าวในพื้นที่ของฝ่ายความมั่นคง ไม่สามารถเจาะหาแผนการลับสุดยอดของขบวนการร้ายแห่งนี้ได้แม้ว่าจะมีสัญญาณลวงว่าหน่วยงานความมั่นคงสามารถเข้าถึงใจพี่น้องประชาชนในพื้นที่ได้แล้วก็ตาม ที่สำคัญปฏิบัติการนี้ ยังสามารถปิดลับการรวมกำลังของกลุ่มกองกำลังติดอาวุธที่ปกติแล้วจะกระจายตัวซ่อนพรางไปหลบซ่อนปะปนไปกับมวลชนในพื้นที่อย่างแนบเนียนยิ่ง หากแต่เมื่อถึงจังหวะเวลาตามแผน พวกเขาสามารถนำคนเหล่านี้ที่ได้รับการฝึกฝนในการก่อการ เข้าปฏิบัติการได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่ง และหลังจากการปฏิบัติการก่อเหตุร้าย คนกลุ่มนี้ ยังสามารถเล็ดรอดหลบหนีการปิดล้อม จับกุมของเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงไปได้อย่างลอยนวลและฝังตัวซ่อนพรางไปปะปนกับพี่น้องมวลชนแนวร่วมของขบวนการได้อย่างแนบเนียน และหลังจากปฏิบัติการตามแผนร้ายดังกล่าวสำเร็จตามเป้าหมายแล้ว ฝ่ายความมั่นคงในพื้นที่ที่มีอยู่มากมายก่ายกอง ได้เข้าตรวจสอบพบว่ากลุ่มผู้ก่อการครั้งนี้ ส่วนใหญ่แต่งกายคล้ายผู้หญิงคลุมฮิญาบออกมาก่อเหตุ เพื่อซ่อนพรางการเพ่งเล็งของเจ้าหน้าที่รัฐและใช้ยานพาหนะที่เป็นรถจักรยานยนต์ โดยปฏิบัติการทำลายความสงบสุขทั้งการลอบวางระเบิด และการขว้างระเบิดเข้าไปในจุดเป้าหมายที่กำหนด โดยคนร้ายมุ่งหมายทำลายภาพลักษณ์ทางเศรษฐกิจของจังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมถึงการทำลายระบบสาธารณูปโภค และที่สำคัญคือ ต้องการท้าทายอำนาจรัฐที่คิดเอาเองว่าสามารถปกป้องเหตุร้ายในพื้นที่ได้

และที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ กลุ่มขบวนการแห่งนี้ ต้องการส่งสัญญาณในการต่อต้านกระบวนการพูดคุยสันติสุขที่กำลังขับเคลื่อนไประหว่างผู้แทนรัฐบาลกับกลุ่ม BRN โดยกลุ่มแบ่งแยกดินแดนที่กำลังต่อสู้กับรัฐกลุ่มนี้ได้ก่อเหตุหลังการพูดคุยสันติสุขเสร็จสิ้นลงเมื่อ2 - 3 สิงหาคมที่ผ่านมาซึ่งคาดว่าเป็นการปฏิบัติการของกลุ่มพูโลG5 เพื่อแสดงตัวตนออกมาให้ฝ่ายรัฐได้รับรู้ว่า ขบวนการแบ่งแยกดินแดนที่กำลังต่อสู้เพื่ออิสรภาพกับรัฐไทยนั้น ไม่ได้มีเพียงแต่กลุ่ม BRN เท่านั้น และกลุ่มพูโล ก็มีอิสระในการต่อสู้กับรัฐ ตามวิถีทางที่กลุ่มต้องการ ทั้งยังชี้ให้เห็นว่า กลุ่มพูโลหรือจะเป็นกลุ่มใดๆ ที่เห็นต่างจากรัฐ ต่างมีศักยภาพในการก่อเหตุร้ายใดๆ ก็ได้ เพื่อแสดงให้เห็นว่ากลุ่มของพวกเขายังไม่ได้รับความสนใจจากรัฐ และการดำเนินการใดๆ ของรัฐที่ผ่านมา ยังไม่เป็นไปตามที่กลุ่มตนต้องการเท่าที่ควร

แม้หน่วยงานความมั่นคงของรัฐ จะได้ทุ่มเทความพยายามมาอย่างต่อเนื่องในการยุติการแก้ปัญหาความเห็นต่างด้วยการใช้ความรุนแรง รวมทั้งการทุ่มเทความพยายามอย่างมากมายในการแย่งชิงมวลชนในพื้นที่ให้เป็นแนวร่วมกับรัฐ หากแต่สถานการณ์ที่ผ่านมาแม้จะดูประหนึ่งว่า ความพยายามหลายๆ ประการของรัฐกำลังบรรลุเป้าหมาย ด้วยสถานการณ์ความรุนแรงด้วยการใช้อาวุธเข้าห้ำหั่นฝ่ายเห็นต่างระหว่างกัน ได้ลดความถี่ลงจนแทบจะไม่เกิดเหตุร้ายขนาดใหญ่มาได้ระยะหนึ่ง พร้อมกับความพยายามของรัฐในการนำพาสันติวิธีเข้ามาเป็นเครื่องมือในการยุติปัญหาที่สืบทอดมาอย่างยาวนานให้ยุติลง หากแต่สถานการณ์ความไม่สงบหลายๆ ครั้ง ที่ไม่เป็นข่าวและที่เป็นข่าวใหญ่โตในลักษณะล่าสุดนี้ ย่อมชี้ให้เห็นว่า หน่วยงานของรัฐ ยังไม่สามารถเข้าใจ เข้าไปนั่งในหัวใจของพี่น้องคนในพื้นที่ส่วนใหญ่ได้อย่างแท้จริง ในทางตรงข้าม กระบวนการในการสะสมบ่มเพาะความเห็นต่าง จนขยายไปสู่ความเคียดแค้นชิงชังให้เกิดขึ้นในหัวใจของคนในพื้นที่กับคนต่างพื้นที่ ก็ยังคงดำรงอยู่อย่างเข้มข้นและเป็นระบบ ความสงบเรียบร้อยในพื้นที่จึงเสมือนเป็นภาพลวงตาที่พร้อมจะระเบิดออกมาทำลายล้างทุกสิ่งอย่างที่เป็นเป้าหมายของกลุ่มคนนิยมความรุนแรง เมื่อถึงจังหวะเวลาที่พวกเขารอคอยมาอย่างอดทน