ชัยวัฒน์ สุรวิชัย ผมเป็นชาวพุทธ เคยบวชเรียนมา พรรษาเต็มๆ ปี 2517 หลัง 14 ตุลา 16 ซึ่งผมบวชที่วัดเชียงรายลำปาง บ้านเกิด ทดแทนบุญคุณพ่อแม่ ก่อนมาจำพรรษาที่วัดชลประทานรังสฤษฏ์กับหลวงพ่อปัญญา ก่อนหน้านี้ ปี 2512 ได้ไปสวนโมกข์ ร่วมเดือนกับอาจารย์ระวี ภาวิไล -คุณบัญชา เฉลิมชัยกิจ ฯ ได้รับฟังคำสอนและเห็นวัตรปฏิบัติปฏิบัติของท่านพุทธทาส ที่เน้นคำสอนแท้ของพระพุทธองค์ ทุกข์ สมุหทัย นิโรธ มรรค แก้ที่เหตุ จึงจะพ้นทุกข์ และให้ใช้เหตุผล ปัจจัยความจริง เป็นฐานของความเชื่อ และท่านเจ้าคุณประยุทธ ( โต ) วัดญาณเวศกวัน ที่ลูกชายคนเล็กบวช เกินพรรษา ปีน้ำท่วมใหญ่ 2554 นอกจากนี้ การได้ศึกษาและปฏิบัติจากแนวคิดที่เป็นวิทยาศาสตร์ของมาร์กซ ในเรื่องวัตถุนิยมประวัติศาสตร์ และวิภาษวิธี และ คำสอนของประธานเหมา “ จงแสวงหาสัจจธรรม จากความเป็นจริง - เอาจริง “ จากบราเดอร์โรงเรียนอัสสัมชัญลำปาง ที่เน้นการคิดด้วยการปฏิบัติ “ วิทยะอุตสาหะ นำมาซึ่งความสำเร็จ “จากป๋าแม่ ที่สอนด้วยการปฏิบัติ “ การทำงานหนัก จริงจังต่อเนื่อง จึงสามารถเลี้ยงลูกด้วยการค้าที่สุจริต “และชีวิตแห่งความเป็นจริงที่ไม่เคยได้อะไรมาง่ายๆ แต่ผ่าน “ การทำงานหนัก เอาจริง ไม่ท้อแท้ จนบรรลุ “ • พูดมาอย่างยาวเหยียด ค่อนข้างจะครบถ้วน “ ในวิถีแห่งคิดและทำ “ ของตนเอง จนมาถึงทุกวันนี้ ผมจึงไม่เคยเชื่อเรื่องของ “ ดวงชตา ราศี ที่โหรพระวัดหมอดูหมอเดา ได้เอ๋ยทักชักชวน ใดๆทั้งสิ้น “จึงหามีความกังวล ติดตาค้างใจ ที่จะสร้างให้กังวลหรือไม่สบายใจ ในการทำงานของตนเองแต่ประการใด เพราะความจริง “ ความกังวล ความไม่สบายใจ ความหมุ่นหมองใจ ของตนเอง “ เป็นเหตุ หาใช่หมอดูไม่ แต่ สำหรับเพื่อนมิตรญาติพี่น้อง “ ที่เขาเชื่อ แล้วสบายใจ “ ก็เป็นเรื่องความเชื่อของแต่ละปัจเจกชน แต่บางครั้งบางหน คนที่ชอบกล่าวอ้าง ว่า “ พระหมอดูหรือโหร ที่ทำนายสถานการณ์บ้านเมืองไทย “ทายถูกแม่นยำ , ผมก็จะให้ข้อเท็จจริงว่า “ เขาทาย 10 ครั้ง ถูกแค่ครั้งเดียว เท่านั้น เอามากล่าวอ้าง “แต่คนทั่วๆไป มักจะฟังแต่การโฆษณา ใน ครั้งเดียวที่ทายถูก โดยไม่มีข้อมูล 9 ครั้งที่ทายผิด , จึงเชื่อคนไทย “ มักจะขาดการตรวจสอบ การมีข้อมูล ที่ครบถ้วน ที่จะแสดงให้ผู้คนได้เข้าใจ “นี่คือ หลักคิดทางสถิติ ในการตรวจสอบความจริง ความไม่จริง ของโหรชื่อดังในไทยและในทางสากล อีกประเด็นหนึ่ง ที่ผมใช้ทดสอบ ความรู้แจ้งเห็นจริงของสงฆ์ดังหรือเซียนใหญ่บางแห่ง ที่ลูกศิษย์ โหม “ โฆษณา ใหญ่โต กล่าวอ้างว่า พระรูปนี่เป็นอริยะสงฆ์ รู้แจ้งหมด ถามอะไรก็ได้ “ผมมีประสบการณ์ตรงด้วยตนเอง หลังจากเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ใหม่ๆ ตอนนั้นใครๆก็รู้จัก ผมถูกนำไปพบกับพระสงฆ์ดังในสถานที่แห่งหนึ่ง ที่ท่านพำนัก และมีผู้คนไปกราบไหว้ขึ้นต่อท่านมากมาย ผมได้เข้าไปกราบท่าน และสนทนาธรรม ซึ่งท่านก็ได้แสดงธรรมของพระพุทธองค์ ทำให้เกิดศรัทธาเลื่อมใส แต่แล้วลูกศิษย์คนใกล้ชิด ก็คะยั้นคะยอให้ผมถาม “ อะไรก็ได้ที่อยากรู้ ท่านจะตอบได้หมด “ ผมจึงถามคำถามเกี่ยวกับฟิสิกส์และวิศวกรรมศาสตร์ , แต่ท่านเงียบ ไม่ตอบ ผมก็เงียบ ไม่ถามต่อ แต่คนเสียหน้า กลับกลายเป็นลูกศิษย์ดังคนนั้น คนที่ตอบคำถามผมได้ กลับมิใช่หมอดู หรือพระเกจิดัง แต่เป็นคนเป็นๆ ที่ใกล้ชิดสนิทสนมกัน เรื่องนี้ มิได้เกิดที่วัด หรือสถานที่ทำงานใหญ่ๆโตๆในกรุงเทพฯ แต่ประการใดไม่ ? แต่กลับ เป็นสถานที ที่เหล็กดัด และกรงขัง ดูก็ปลอดโปร่งลมพัดเย็นสบาย แต่ไม่มีอิสระและเสรีภาพใช่ครับ เรือนจำ ในคุกบางเขน โรงเรียนพลตำรวจ ถนน วิภาวดี ที่แคบ 2 เลนเ ในปี 2516 “ คำถาม ก็มิใช่ของผมเอง แต่เป็นเพื่อนพ้องน้องพี่ 1 ใน 13 กบฏเรียกร้องรัฐธรรมนูญ 14 ตุลา 16 “ซึ่งทุกคนอยากจะฟัง คนนอกที่ชุมนุมอยู่เรือนแสน ก็คงอยากจะรู้ “ คำตอบของคำถามนี้ “แล้วเหตุการณ์ต่อไป จะเป็นอย่างไร หลังจากวันนี้ ( 12 ตุลาคม 2516 )อ.ทวี หมื่นนิกร และพี่นพพร สุวรรณนพ ให้คำตอบคล้ายๆกัน ( เนื่องจากมีประสบการณ์มาก) ทั้งสองท่าน เล่าถึง “ อดีต 4 รัฐมนตรี ที่ถูกปล่อย แล้วกลายเป็นศพ ( อ้างว่า โจรจีนฆ่า ) แต่ “ พี่ประพันธ์ศักดิ์ กมลเพชร “ ผู้นำเสนอคนแรกๆ ประเด็น “ การเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีโดยตรง “ พี่เขา ไม่ตอบโดยตรง แต่ บอกว่า “ พี่เห็น เลือดเต็มไปหมด แดงทั่วแผ่นดิน “…….. เหตุการณ์หลัง 14 ตุลา 2516 ที่ผู้นำชาวนา กรรมกร นักศึกษา ถูกสังหารเป็นรายวัน ผมเจอประจำ เพราะช่วงนั้นทำหน้าที่ฝ่ายกิจการมวลชน ที่ต้องไปสัมพันธ์กับชาวนาและชาวบ้านภาคเหนือ พ่อหลวงอินถา ศรีบุญเรือง ถูกสังหาร ผมได้ไปร่วมงานศพ เช้าวันรุ่งขึ้น ผู้นำชาวนาถูกสังหารไปอีกคน พนักงานการไฟฟ้าภูมิภาค นครปฐม ที่ถูกสังหาร โดยการถูกแขวนคอ ก็เป็นสมาชิกพรรคสังคมนิยมฯ “ ดร.บุญสนอง บุณโยทยาน เลขาธิการพรรค ถูกสังหาร ถนนถนนวิภาวดี ใกล้บ้านพัก 28 กุมภา 2519 และแล้ว ก็เป็นเหตุการณ์ที่เหี้ยมโหดอำมหิตที่สุดในประวัติศาสตร์การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยไทย คือ “ เหตุการณ์ล้อมปราบ สังหารและจับกุมนักศึกษาประชาชน ที่ชุมนุมในธรรมศาสตร์ 6 ตุลา 2519 “ไม่ทราบว่า “ คำเปรยของพี่ประพันธ์ศักดิ์ เลือดเต็มไปหมด แดงทั่วแผ่นดิน “ จะจบหมดลงแล้วหรือยัง คำตอบของ คำถามนี้ อยู่ที่ ประชาชนคนไทยทุกคน เรามีวิธีคิด และการเชื่อใคร อย่างไร 1.หากเราเชื่อใครง่ายๆ “ คนนั้น กลุ่มนั้น ดีหรือไม่ดี ควรจะขจัดหรือทำลายให้หมดไป “ แบบที่มีการบอกกัน จากผู้มีอำนาจของแต่ละฝ่าย เพื่อใช้หรือชักจูงให้ “ คน “ ไปฆ่าไปทำร้ายกัน โดยไม่มีเหตุมีผล เพื่อตนเอง เหตุการณ์ก็จะเกิดขึ้น เหมือนกรณี 6 ตุลา 19 ฆ่านักศึกษาและคอมฯไม่บาป เพราะ “ เป็นคนไม่ดีทำลายชาติ หรือเหตุการณ์ ปี 2553 ที่เขานำชาวบ้านมาปิดล้อมเมือง โดยกล่าวอ้างว่า “ เป็นสงครามครั้งสุดท้าย “แล้วใช้การเผาบ้านเผาเมือง สร้างความเดือดร้อนแก่ชาวกรุง โดยชาวบ้านต้องมารับเคราะห์แทนแกนนำเสื้อแดง 2.แต่หากเรามีความรู้มีข้อมูล ศึกษาเรียนรู้ให้เข้าใจสังคม และกลุ่มฝ่ายต่างๆ ว่า “ เป็นเรื่องดีหรือเรื่องไม่ดี “ แล้วเราได้คิดได้ปฏิบัติด้วยตนเอง สรุปบทเรียนเป็นประจำ “ ใครถูกใครผิด , ใครหวังดี ใครเจตนาร้าย “เขาทำเพื่อชาวบ้านและประเทศไทย หรือทำเพื่อตนเองครอบครัวและพรรคของเขา การพัฒนาตนเองให้มีคุณภาพ มีอิสระ มีความรับผิดชอบต่อส่วนรวม และรักประชาชนและประเทศชาติ การเข้าร่วมกิจกรรมหรือกลุ่มเครือข่ายที่ดีมีประโยชน์ทำเพื่อคนอื่น นอกจากตนเอง จะทำให้เราเข้มแข็ง มีภูมิรู้ มีภูมิต้านทาน ………….. การศึกษาทำความเข้าใจประวัติศาสตร์ และสภาพสังคมไทย ก็จะทำให้เราเข้าใจการบ้านการเมืองดีขึ้น เข้าใจหลักประชาธิปไตยที่แท้จริง ต้องให้อำนาจมาอยู่ที่ประชาชน และการมีส่วนร่วมของประชาชนที่แท้จริง จะทำให้ นักการเมือง ข้าราชการ นายทุน ไม่สามารถมาหลอกเราให้เลือกเขา แล้วเขาจะทำแทนพวกเรา แต่เรา จะต้องเข้าไปมีส่วนรวมในอำนาจรัฐ การใช้อำนาจ และการตรวจสอบอำนาจ ด้วยตัวเราเอง