เสรี พงศ์พิศ

FB Seri Phongphit

เมื่อปลายปี 2020 สิงคโปร์ได้รับรอง “เนื้อจากห้องแล็บ” หรือ “เนื้อเพาะ” (cultured meat) เป็นประเทศแรกของโลก และมีร้านอาหารนำออกบริการทันที เริ่มจากไก่ ซึ่งลูกค้าบอกว่า รสชาติเหมือนเนื้อไก่  เพราะเป็น “เนื้อไก่จริง” ไม่ใช่เนื้อเทียม หรือเนื้อทำจากพืช

วิธีการผลิตก็นำเอาเซลล์จากไก่ จากขนไก่ หรือจากเนื้อเยื่อไก่ ขยายได้เป็นแสนเป็นล้านชิ้น ทำให้ได้เนื้อไก่ที่มีคุณภาพ ไม่มีสารตกค้าง ไม่มียาปฏิชีวนะ ฮอร์โมนเร่งการเติบโต และสารพิษต่างๆ ในกระบวนการผลิต

เขาใช้ถั่วเขียวและข้าวโพดเป็นอาหารจุลินทรีย์ ที่ทำให้เกิดการหมัก ใช้เวลาเพียง 2 อาทิตย์ก็ได้ที่ ไม่ใช่นานแบบเลี้ยงไก่ ที่ต้องใช้ยา ใช้อาหาร ใช้พื้นที่มากมาย

ที่สำคัญ ไม่ต้องฆ่าสัตว์ตัดชีวิตอีกต่อไป ปกติ มีการฆ่าไก่ในโลกนี้ปีละ 50,000 ล้านตัว ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเข้าสู่บรรยากาศโลก 10-12%  ไม่ต้องทำลายป่า ถางป่าเพื่อปลูกข้าวโพด ทำอาหารสัตว์อีกต่อไป

วันนี้เนื้อไก่เพาะอาจจะยังราคาแพง ที่ร้านในสิงคโปร์ขายจานหนึ่งประมาณ 500 บาท แต่เมื่อมีการขยายเป็นอุตสาหกรรมใหญ่ราคาจะถูกลง และถูกกว่าเนื้อไก่แบบเดิมอีก  สิงคโปร์ประกาศเป็นศูนย์กลางอาหารโลกยุคใหม่ไปแล้ว  มีนักลงทุนใหญ่ๆ สนับสนุนการผลิต เป็นตลาดมูลค่าหลายแสนล้านบาท

Eat Just ที่มาขยายผลที่สิงคโปร์เป็นบริษัทอเมริกัน ก่อตั้งเมื่อปี 2011 ที่ซานฟรานซิสโก ที่ตอนแรกผลิตไข่จากพืช และยังทำอยู่ ผลิตปีละ 100 ล้านฟองขายทั่วโลก มาทำเนื้อจากการเพาะเมื่อปี 2017 นี่เอง

วันนี้ การประกอบการพัฒนาเนื้อเพาะกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว มีสตาร์ตอัพกว่า 60 บริษัทที่ทำเรื่องนี้ มีนักลงทุนใหญ่มากมายสนับสนุน เพราะธุรกิจเนื้อมีมูลค่ากว่า 35 ล้านล้านบาท  เจ้าของกูเกิล ไมโครซอฟท์ และธุรกิจใหญ่ๆ ยังกระโดดลงมารวมวงเลย เพราะนี่คือการปฏิวัติอาหารโลก

ยกตัวอย่างบริษัท Upside ที่ผลิตเนื้อวัวจากแล็บ จากฟาร์มเพาะหรือฟาร์มหมัก ที่เบิร์คเลย์ แคลิฟอร์เนีย กำลังผลิตเนื้อ 50,000 ปอนด์ต่อปี และมีเป้าหมายที่ 400,000 ปอนด์และมากกว่านี้ในอนาคต ตอนแรกราคาแพงมาก ปอนด์ละประมาณ 620,000 บาท เพราะผลิตจากห้องแลปเพื่อการวิจัย วันนี้ลดลง 1,000 เท่า ทานได้ในราคา 300-500 บาท ต่อไปอาจจะชิ้นละ 100 กว่าบาทเท่านั้น

การที่การธุรกิจนี้ดึงดูดนักลงทุนได้มากและพัฒนาอย่างรวดเร็ว เพราะทุกคนมองเห็นว่า นี่คือการปฏิวัติอาหารโลกจริงๆ ทุกปีมีการฆ่าสัตว์ 70,000 ล้านตัว เพื่อเลี้ยงประชากรโลก ปี 2050 ประชากรโลกจะถึง 10,000 ล้านคน จะต้องฆ่าสัตว์เพิ่มเป็น 150,000 ล้านตัว เพื่อทำพื้นที่เลี้ยงสัตว์ ผลิตอาหารสัตว์ คงต้องตัดไม้ทำลายป่ามากกว่าที่กำลังทำกันอยู่เป็นสองเท่า อย่างการเผาป่าอะเมซอน และหลายประเทศทั่วโลก

นอกจากการผลิตเนื้อจากพืชและสัตว์โดยการเพาะ ยังมีพิสดารเหลือเชื่อกว่านั้น ประหนึ่งการเล่นกล เสกคาถา ผลิตเนื้อจากอากาศ (airbase protein) หลักการ คือ การใช้คาร์บอนไดออกไซด์ให้กลายเป็นอาหาร

กระบวนการ คือทำการหมักจุลินทรีย์คล้ายการหมักเบียร์ หรือการทำโยเกิร์ตที่ทำให้เกิดโปรไบโอติก จุลินทรีย์ดี เลี้ยงด้วยคาร์บอนไดออกไซด์ สารประกอบอนินทรีย์ (minerals) น้ำ ก็จะได้ “แป้ง” ออกมา ไม่มีรส นำไปประกอบอาหารหลายอย่าง แล้วแต่เชื้อ ทำเป็นเนื้อแบบพืชก็ได้ เนื้อแบบเนื้อจริงๆ ก็ได้

แนวคิดนี้มาจากองค์การอวกาศสหรัฐที่เคยมีแผนผลิตอาหารให้นักบินอวกาศที่จะต้องเดินทางไปดาวอังคารเมื่อ 50-60 ปีก่อน โดยผลิตอาหารจากลมหายใจของนักบิน เอาคาร์บอนไดออกไซด์มาแปลงเป็นอาหารและพลังงาน แต่โครงการได้พับไปเพราะยังไม่มีแผนไปดาวอังคาร จึงมีการฟื้นมาผลิตอาหารวันนี้

เป็นกระบวนการใช้เวลาไม่กี่ชั่วโมง ไม่ใช่เป็นเดือนเป็นปีเหมือนการเลี้ยงสัตว์ ปลูกพืช ไม่มี GMO ยาฆ่าหญ้า ยาฆ่าแมลง ยาปฏิชีวนะ ฮอร์โมน ปุ๋ย และอื่นๆ ได้ผลผลิตคุณภาพดีต่อสุขภาพ

การพัฒนากำลังดำเนินไปอย่างรวดเร็ว บริษัท Air Protein ของสหรัฐฯ กำลังขอการรับรองจากองค์การอาหารและยา (FDA) บริษัท Solar Food ของฟินแลนด์ กำลังขอการรับรองจากอียู เพื่อจะได้ระดมทุนและขยายเป็นอุตสาหกรรมใหญ่ เพราะการวิจัย การทดลองมาถึงจุดที่จะขยายผลไปสู่สาธารณะได้แล้ว

พัฒนาการอาหารนี้ส่งผลกระทบต่อวงการอุตสาหกรรมอาหารและที่เกี่ยวข้องอย่างรุนแรง ถึงเรียกกันว่าเป็นการเปลี่ยนแบบหักโค่น (disruption) วงการอาหารเดิมถูกแทนที่ด้วยระบบใหม่ ที่ดูเหมือนว่าใครก็ได้สามารถเข้ามาสู่วงการนี้ ที่ไม่จำกัดในกลุ่มธุรกิจและผู้เชี่ยวชาญเดิมอีกต่อไป ถึงเกิดสตาร์ทอัพกว่า 60 แห่ง และมียูนิคอร์น คือการประกอบการระดับกว่า 1,000 ล้านเหรียญมากขึ้นเรื่อยๆ

การปฏิวัติอาหารโลกแนวใหม่นี้พัฒนาไปอย่างรวดเร็วด้วยสาเหตุหลายประการ เรื่องบริมาณอาหารที่ถ้ายังทำแบบเดิมจะขาดแคลนอย่างแน่นอน โลกร้อนจะไม่มีทางลดลงได้ถ้ายังทำการเกษตรแบบเก่า เพราะการปลูกพืช เลี้ยงสัตว์ เลี้ยงคน ส่งผลต่อโลกร้อนถึงร้อยละ 25 และดูเหมือนว่าไม่มีประเทศไหนลดในส่วนนี้ได้

จนถึงเมื่อไม่กี่สิบปีมานี้ บ้านเราก็ยังพอหาอยู่หากินในธรรมชาติได้ อยากกินเห็ดเข้าป่า อยากกินปลาลงหนอง แต่เราไปรีดนาทาเร้นจากธรรมชาติ ไม่ได้เอามากินเท่านั้น แต่เอามาขายด้วย จนธรรมชาติผลิตไม่ทัน เราทำลายดิน น้ำ ป่า เพื่อขยายที่ทำกิน การปลูกพืชเศรษฐกิจ การพัฒนาที่ส่งผลต่อธรรมชาติและต่อชีวิตผู้คน

การปฏิวัติอาหารโลกจะส่งผลกระทบมาถึงเมืองไทยอย่างแน่นอน คนในวงการนม วัวนม ผลิตภัณฑ์นมต่างๆ การเลี้ยงสัตว์ ไก่ หมู จะได้รับผลกระทบอย่างหนัก เพราะราคานม ผลิตภัณฑ์นมจากแล็บ เนื้อเพาะจะถูกกว่า และอุตสาหกรรมนี้ก็จะเกิดในบ้านเราไม่ช้านาน  อย่างเนื้อจากพืชก็เกิดนานแล้ว คนทั่วไปอาจไม่รู้

ถ้าไม่ปิดประเทศและยังอยู่ในโลกนี้ต่อไปก็ไม่มีทางเลือกอื่น เพียงแต่ต้องดูว่า บ้านเรามีอะไรที่เป็นจุดแข็ง และวิธีที่จะทำให้อยู่รอดได้ ในโลกที่มีการแข่งขันรุนแรงนี้ ที่สำคัญต้อง “สร้างคน สร้างความรู้ สร้างระบบ” เพราะนี่ไม่ใช่อะไรที่จะ “เสก” ได้ เหมือน “เสก” เนื้อจากอากาศ