จู่ ๆ สหรัฐอเมริกาก็จะส่งตัวผู้ต้องหาที่มีฉายาว่า “เณรคำ” ที่หลหนีอยู่ในสหรัฐอเมริกากลับให้ไทย เมื่อ พ.ศ 2556 มีข่าว “เณรคำ” ร่ำรวยมหาศาล และฉ้อโกง ใช้เงินที่ชาวบ้านบริจาคทำบุญเป็นประโยชน์ต่อตนและพวกพ้อง พฤติกรรมที่สื่อมวลชนขุดคุ้ยตอนนั้นก็น่าตกใจ เพราะเณรคำ กระทำผิดปรากฏหลักฐานชัดมาหลายครั้งหลายครา เช่นขับรถชนคนตาย ฯลฯ แต่กลับไม่ถูกดำเนินคดี กลับสร้างองค์กรให้ใหญ่โตและมีอิทธิพลสูงขึ้นได้เรื่อย ๆ กรณีนี้ไม่น่าจะเป็นความสามารถเก่งกาจในการฉ้อโกงของหนุ่มอีสานเพียงคนเดียวเท่านั้น มันน่าจะเป็นขบวนการมิจฉาชีพที่ใช้ผ้าเหลือง ใช้ศรัทธาของชาวบ้าน สร้างบารมีอิทธิพลชักจูงให้คนใหญ่โตบางคนมาสนับสนุน คนใหญ่คนโตเหล่านั้น มีทั้งพระเถระชั้นผู้ใหญ่ , นายพลตำรวจ , ศาสตราจารย์ , นักวิชาการ , แพทย์ ฯลฯ ที่น่าสลดใจก็คือ ผู้ใหญ่เหล่านั้นถูกเด็กอีสาน เรียนๆ ไม่จบ ม.2 หลอกลวงได้ หรือว่าสังคมไทยกลายเป็นเนื้อดินอันหอมหวานสำหรับคนฉ้อโกงไปแล้ว การฉ้อโกงเป็นเหตุให้สถาบันทางสังคมเสื่อมลงมาก “สถาบันสหกรณ์” ซึ่งควรจะเป็นองค์กรที่ช่วยเหลือสังคมไทยได้มาก ก็ถูกพวกฉ้อโกงทำลายศรัทธาไปมาก โดยเฉพาะสหกรณ์ออมทรัพย์เกิดเรื่องฉ้อโกงกันมาก เรื่องฉ้อโกงในสหกรณ์เครดิตยูเนียนทำให้สหกรณ์ ฯ เสียหายถึงหนึ่งหมื่นสองพันกว่าล้านบาท เรื่องฉ้อโกงในสหกรณ์ออมทรัพย์ครู กรณีที่ทำให้ครูเสียหายกันมากคือเรื่องสหกรณ์ครูรับล็อตตารี่มาขาย ความเสียหายอยู่ที่หลักพันล้าน ฯลฯ เรื่องเหล่านี้ดูเหมือนไม่ได้สอนใจให้คนไทยตื่นตัวแยกผิดแยกถูกกันเลย ในระดับบน นักการเมืองเสื่อมก็เพราะเรื่องฉ้อโกง พรรคการเมือง,นักการเมืองไทยก็ติดภาพลบ ด้านฉ้อโกงค่อนข้างมาก พรรคการเมือง,นักการเมืองในไทยที่มีอยู่และเคยมีนั้น มีความเข้มแข็งในบางด้าน จุดที่เข้มแข็งคือ เรื่องเงินทุน, เรื่องยุทธวิธีในการเอาชนะการเลือกตั้ง , เรื่องการซื้อตัว ส.ส , ควบคุมบังคับ ส.ส , เรื่องหากินจากงบประมาณ และคอร์รัปชันเชิงนโยบาย ฯลฯ ในจุดเหล่านี้ พรรคการเมืองส่วนใหญ่ มีความสันทัดจัดเจน ทำงานส่วนนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่ง แต่จุดที่พรรคการเมืองทั้งหลายแหล่อ่อนแอ คือการปราบปรามคอร์รัปชันให้ได้ผล ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้จึงมีแนวทางป้องกันนักการเมืองฉ้อโกงไว้ชัดเจน เพราะหากปล่อยให้การฉ้อโกงกุมกินสังคมตั้งแต่ระดับบนลงถึงระดับล่างแล้ว ชาติไทยจะเข้มแข็งได้อย่างไร