รศ.ดร.ไชยา ยิ้มวิไล เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม พุทธศักราช 2493 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ได้ทรงมีพระบรมราชโองการว่า “เราจะปกครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์แห่งมหาชนชาวสยาม” นับแต่นั้นมา ที่ทรงครองราชย์มาอย่างยาวนานถึง 7 ทศวรรษ หรือ 70 ปี พระองค์ท่านได้ทรงยึดหลักการยึดถือปฏิบัติอย่างมุ่งมั่นและแน่วแน่ตลอดเวลาด้วย “ทศพิธราชธรรม” จนอาณาประชาราษฎร์ตระหนักและสำนึกใน “ความเป็นพระมหากษัตริย์” ที่ทรงห่วงใย เยี่ยมเยียนพสกนิกรชาวไทยทุกภูมิภาคโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย จากพระบรมสาทิสลักษณ์ ที่พระองค์ทรงตรากตรำพระวรกายมิได้แสดงความเหน็ดเหนื่อยแม้น้อยนิด เราได้เห็นภาพที่เม็ดเหงื่อไหลย้อยอยู่ปลายจมูกของพระองค์ท่าน ตลอดจนนั่งลงกับพื้นสนทนากับผู้เฒ่าผู้แก่ เด็กเล็กอย่างไม่ถือพระองค์เลยแม้แต่น้อยนิด ซึ่งภาพเหตุการณ์ต่างๆ เหล่านี้ ต้องยอมรับว่าเป็นเพียง “เศษเสี้ยว” ของเหตุการณ์หรืออาจเรียกได้ว่าเป็น “ปรากฏการณ์” ก็ว่าได้ ที่พระองค์ทรงอุทิศตนแก่อาณาประชาราษฎร์ มิได้ว่างเว้นมายาวนาน “ธรรมราชา” ที่พสกนิกรชาวไทยเรียกขานพระองค์ท่านอย่างสนิทปากสนิทใจ ที่พระองค์ทรงเป็นแบบอย่างที่ดีของ “หลักการธรรมาธิปไตย” ที่น่าจะอยู่เหนือกว่าประชาธิปไตยด้วยซ้ำ แต่พระองค์ท่านยังคงน้อมรับหลักการประชาธิปไตยด้วยการเคารพกฎเกณฑ์ และหลักกฎหมายของประชาธิปไตยเสมอมาเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นนับแต่ที่พระองค์ทรงขึ้นครองราชย์มานั้น มีเหตุการณ์ที่ทำให้สังคมไทยนั้นเกือบ “แตกแยก” มานับครั้งไม่ถ้วน เริ่มตั้งแต่วันที่ 14 ตุลาคม 2516 จนมาถึง วันที่ 6 ตุลาคม 2519 ที่พระองค์ท่านต้องทรงลงมาขอร้องให้ประชาชนสามัคคีกัน ตลอดจน “การยึดอำนาจ-รัฐประหาร” หลากหลายครั้งที่พระองค์ต้องลงมาไกล่เกลี่ยจนทุกอย่างสงบลงได้ นอกเหนือจากนั้น พระองค์ท่านยังคงให้คนไทยรู้จักคำว่า “รู้รักสามัคคี” เนื่องด้วยตลอดระยะเวลา 10 กว่าปีที่ผ่านมานั้น ต้องยอมรับว่า “คนไทยขัดแย้งกันอย่างมาก” จนเกิดการแบ่งขั้วแบ่งค่าย และต่างทะเลาะจนเกิดการปะทะกันขั้นรุนแรง ทั้งนี้ ทุกวันนี้แม้นความขัดแย้งจะเพลาลงบ้างไม่มากก็น้อย แต่ก็ยังมี “อาการ-อารมณ์” ของความขัดแย้งกันอยู่ ทั้งๆ ที่เป็น “การเมืองล้วนล้วน!” แต่ไม่สำคัญเท่ากับว่า “เราเป็นคนไทยด้วยกันทั้งสิ้น!” เพียงแต่แก่งแย่งประโยชน์ทรัพยากรของชาติ เข้าพกเข้าห่อแก่สมัครพรรคพวกตนเอง อย่างไรก็ตาม “การเสด็จสวรรคต” ของพระองค์ท่านนั้น น่าจะทำให้คนไทยได้ตระหนักและรำลึกถึงคุณงามความดีที่พระองค์ท่านทรงยึดถือปฏิบัติเสมอมา ด้วยมอบความรักให้แก่พสกนิกรชาวไทยทุกหมู่เหล่าถ้วนหน้า พระราชกรณียกิจ ตลอดจนโครงการพระราชดำริของพระองค์ท่านนั้นทรงเปี่ยมล้นทุกหย่อมหญ้า ไม่ว่า พี่น้องเกษตรกรที่พระองค์ทรงห่วงใยมหาศาล โครงการกังหันชัยพัฒนา โครงการแก้มลิง โครงการหญ้าแฝก เป็นต้น ที่พระองค์ท่านทรงมอบให้ พร้อมติดตามอย่างใกล้ชิด ตลอดจนโครงการฝนหลวงเมื่อเกิดภัยแล้ง และแม้กระทั่งอุทกภัย “เศรษฐกิจพอเพียง” ซึ่งยึดโยงกับ “แนวคิดทฤษฎีใหม่” ที่พระองค์ท่านทรงมอบให้ทั้งภาครัฐบาล ภาคเอกชน และภาคประชาชน น้อมนำไปยึดถือเป็น “หลักการดำเนินชีวิต” ที่คนไทยทุกคนต้องรู้จักความพอดี แต่มิใช่ ทอเสื้อผ้าใส่เอง มีกินแค่นั้นก็แค่นั้น แต่หมายความว่า “อยู่อย่างพอดีมีเหตุผล” ด้วยการอยู่การใช้ประโยชน์จากสภาพที่พออยู่ได้ มิได้ฟุ้งเฟ้อ ฟุ่มเฟื่อย และถ้าสามารถขยายการลงทุนได้ มีพลังพอในการจ่ายดอกเบี้ยได้ก็ทำไป แต่อย่าถึงขั้นต้องลำบากจนต้องรังแกเบียดเบียนซึ่งกันและกัน จริงๆ แล้ว “พระองค์” คือ “พ่อหลวง-พ่อของแผ่นดิน” ที่ทรงพระเสียสละอย่างมากมายมหาศาล จนกล่าวมิมีวันจบสิ้น จนพสกนิกรชาวไทยเมื่อทราบข่าวและเฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิด ทุกครั้งที่พระองค์ทรงออกจากโรงพยาบาลศิริราช หรือทรงเดินทางไปแห่งหนตำบลไหน ประชาชนจะแซ่ซ้องเปล่งเสียง “ทรงพระเจริญ” อย่างกึกก้อง จนทุกผู้ทุกนามน้ำตาไหลรินทุกครั้งด้วยความรักและปลาบปลื้มในพระองค์ท่าน เป็นกรณีที่แปลกอย่างมากว่า เดือนตุลาคมเป็นเดือนที่ผู้ใหญ่ของบ้านเมือง มักสิ้นพระชนม์ นับแต่รัชกาลที่ 4 สิ้นพระชนม์วันที่ 1 ตุลาคม และวันที่ 23 ตุลาคม พระพุทธเจ้าหลวง หรือ “รัชกาลที่ 5” ทรงสิ้นพระชนม์ สมเด็จย่าฯ 21 ตุลาคม พระสังฆราช 24 ตุลาคม และรัชกาลที่ 9 ทรงสิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม ที่ผ่านมานี้เอง อย่างไรก็ตาม “ฟ้าลิขิต” ก็แล้วกัน! พระราชประวัติของพระองค์ท่านนั้นจะขอกล่าวดังต่อไปนี้ ว่าทรงได้รับการศึกษาระดับอนุบาลที่โรงเรียนมาแตร์เดอีที่เมืองไทย ต่อจากนั้นเดินทางไปศึกษาต่อที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์จนแตกฉานภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน ละติน และต่อจากนั้นได้ศึกษาแผนกวิทยาศาสตร์ และวิศวกรรมศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยโลซาน หลังจากนั้นได้ทรงเดินทางเข้าออกสวิตเซอร์แลนด์หลายครั้ง และในที่สุดทรงประกอบพิธีราชาภิเษกสมรสกับหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร ที่วังสระปทุม โดยสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวีพระพันวสาอัยยิกาเจ้า พระราชทานน้ำพระมหาสังข์ ทรงจดทะเบียนสมรสตามกฎหมายเช่นเดียวกับประชาชน ได้ทรงสถาปนาหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ ขึ้นเป็น “สมเด็นพระราชินีสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถท” เท่าที่ติดตามพระราชกรณียกิจอย่างมากมายที่เปี่ยมล้นอย่างมากมายมหาศาล ต้องยอมรับว่า “การเสด็จสวรรคต” ของพระองค์ท่านนั้น ทำเอาคนไทยทุกคนต่างร่ำไห้ น้ำตานองหน้า แม้นกระทั่งทุกวันนี้ ซึ่งข้าพระพุทธเจ้าจะทรงน้อมนำแนวคิดและโครงการพระราชดำริขอพระองค์ท่านดำเนินการเป็นมดเล็กๆ ของสังคมตลอดไปและที่สำคัญจะสนับสนุนคนดีให้มีส่วนในการบริหารกิจการบ้านเมือง