หากไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง กกต. จะเริ่มทยอยประกาศรับรองผลการเลือกตั้งส.ส.ได้ในวันที่ 21 มิ.ย.66 นี้ จากนั้นบรรดา ส.ส.ใหม่ป้ายแดง จะไปรายงานตัวที่สภาผู้แทนราษฎร ในวันที่ 22 มิ.ย.โดย สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ชุดนี้จะเป็น ชุดที่ 26
          
และตามลำดับขั้นตอนตามที่ พรพิศ เพชรเจริญ เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ได้แจ้งเอาไว้ เมื่อส.ส.มาแสดงตนประมาณ 300 คน สำนักงานเลขาฯสภาฯ ทยอยแจ้งจำนวนและรายชื่อไปทางสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) ให้รับทราบโดยด่วน จนกว่าจะครบจำนวน 475 คนและ 500 คน เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการทูลเกล้าฯ ถวายร่างพระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมรัฐสภา (ครั้งแรก) ซึ่งการประชุมรัฐสภา ครั้งแรกนั้นจะมีขึ้นภายใน 15 วันนับจากวันที่ประกาศผลการเลือกตั้ง ส.ส. ซึ่งจะไปตกในราววันที่ 6 ก.ค.
         
 ส่วนการเปิดประชุมสภาฯครั้งแรก ฝ่ายเลขาฯสภาฯ ได้เตรียมเชิญ พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ ว่าที่ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย เนื่องจากมี อาวุโสสูงสุด อายุ 89 ปี ทำหน้าที่ ประธานชั่วคราว ในที่ประชุมสภาฯจากนั้นจะไปสู่กระบวนการเลือก ประธานสภาฯ อย่างเป็นทางการ ตามข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2562
          
ที่กำหนดให้การเลือกประธานสภาฯ มาจากการเสนอชื่อของส.ส.คนละ1ชื่อ  ต้องมีจำนวนสมาชิกรับรอง ไม่น้อยกว่า 20 คน หากมีการเสนอชื่อ หลายชื่อ ให้ใช้การออกเสียงลงคะแนนเป็นการลับ และนี่คือกระบวนการขั้นตอน ตามปกติ หากในกรณีที่ พรรครัฐบาล สามารถ ตกลงกันได้ มาตั้งแต่ก่อนถึงวันเปิดประชุมสภาฯ
          
แต่สำหรับ พรรคก้าวไกล กับ พรรคเพื่อไทย นอกจากจะยังไม่มีความชัดเจนแล้ว ล่าสุดยังดูเหมือนว่า เรื่อง เก้าอี้ประธานสภาฯ พูดกันมาเมื่อใด ก็ได้ ซัด กันเมื่อนั้น !
          
ท่าทีจาก ภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ที่เปิดหน้า สวนกลับ กระแทกไปที่ รังสิมันต์ โรม แกนนำพรรคก้าวไกล ที่ออกมา จองเก้าอี้ ผ่านสื่อ
          
เมื่อ โรม พูดชัดว่าพรรคก้าวไกลก็ ต้องการ ตำแหน่ง ประธานสภาฯ ด้วยระบุว่าแม้ยังไม่รู้ว่าการหารือเรื่อง ประธานสภาฯ  ระหว่าง ก้าวไกล-เพื่อไทย จะออกมาอย่างไร แต่พรรคก้าวไกล ต้องทำหน้าที่ประธาสภาฯ
           
งานนี้ถึงกับทำให้ ภูมิธรรม สวนกลับ ด้วยการ สอนมารยาทการเมือง ให้ โรมไปหนึ่งดอกว่าการหารือสองพรรคยังไม่จบ และที่สำคัญไปกว่านั้น ให้คนที่มีหน้าที่จริงๆ คุยกันให้จบ คนอื่น ไม่ควรมาแสดงความเห็น
          
อาการแข็งกร้าว งัดง้างจาก พรรคเพื่อไทยกับ พรรคก้าวไกล กำลังจะกลายเป็น ความขัดแย้งเดิมที่กลับมาปะทุรอบใหม่ แต่คราวนี้ น่าจะรุนแรงและแข็งกร้าวมากกว่าเดิม เพราะอย่าลืมว่าไม่ว่าจะมองไปทางไหน ภาวะวิสัย ของ พรรคก้าวไกล ไม่สู้ดีนัก
          
เมื่อวันนี้พรรคก้าวไกล ยังไม่สามารถหา ส.ว. ได้ครบ 64 คน เพื่อมาเติมตัวเลขที่มีอยู่ในมือ ของ 8พรรคร่วมรัฐบาล 312 เสียง ดันตัวเลขไปให้ถึง 376เสียง เพื่อส่งชื่อ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ขึ้นไปนั่งนายกฯคนที่ 30 ได้ตามหวัง เท่ากับว่า พรรคก้าวไกล ต้องพึ่ง พรรคเพื่อไทย ซึ่งมีส.ส. 141 เสียง ในฐานะ พันธมิตรใหญ่  
          
ขณะที่พรรคเพื่อไทยเองก็ประเมินเกมในสภาฯได้ไม่ยากว่า ชื่อพิธา  คงจะดันให้ได้รับการโหวต ในสภาฯ ได้เพียง 1 ครั้ง จากนั้นพรรคก้าวไกลเองก็น่ารู้แล้วว่า โอกาสที่จะ ฝ่าด่าน ทั้ง 250ส.ว. นั้นแทบเป็นไปไม่ได้ ไม่ว่า พิธา จะเจอกับปัญหาเรื่องถือหุ้นไอทีวี หรือไม่ก็ตาม !