ทวี สุรฤทธิกุล

หลายคนที่เคยเชียร์พรรคก้าวไกลอาจจะไม่ค่อยแน่ใจแล้วว่าพรรคนี้จะเอายังไงต่อไป

ทั้งยังไม่แน่ใจอีกว่าพรรคนี้จะมีอนาคตอย่างไร เพราะถูกกล่าวหาถึงขั้นยุบพรรค ในขณะเดียวกันก็มี ส.ส.ของพรคบางคนที่ “ร้อนวิชา” มีพฤติกรรมแปลก ๆ จนถึงขั้นที่นำความเสื่อมมาสู่พรรค ทำให้แฟนคลับจำนวนไม่น้อยเปลี่ยนใจ มองอนาคตของพรรคนี้ด้วยความห่วงใย และตัดสินใจยากว่าจะยังเลือกพรรคนี้ต่อไปอีกหรือไม่

ล่าสุดพรรคก้าวไกลยังแสดงทีท่าเหมือนว่า สะใจนักที่พรรคเพื่อไทย “ผู้ตระบัดสัตย์” กำลังอยู่ในสภาพ “กลืนไม่เข้าคายไม่ออก” หาทางออกไม่ได้ในการจัดตั้งรัฐบาล ที่พรรคเพื่อไทยมุ่งมั่นว่าตนเองจะได้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี รวมถึงจะชวดตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงสำคัญ ๆ ให้กับ “เหล่าวณิพก” ที่ขอมาร่วมรัฐบาลนั้นด้วย โดยที่พรรคก้าวไกลไม่เพียงแต่มองด้วยสายตาที่ซ้ำเติม “ปริบ ๆ” แต่ปากและใจก็พูดไปในทางเดียวกันว่า “ขอให้พบกับหายนะที่ปลายทาง” คือสาปส่งไปเสียเลย

ผู้เขียนกำลังคิดด้วยประสบการณ์ส่วนตัวของผู้สังเกตการณ์ทางการเมือง ที่ติดตามการเมืองไทยมาตั้งแต่ พ.ศ. 2522 โดยได้เห็นการจัดตั้งรัฐบาลมาแล้วหลายรูปแบบ แต่ไม่มีครั้งใดที่จะพิสดารเท่าครั้งนี้

ประการแรก ด้วยเล่ห์กลของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 ที่เขียนขึ้นโดย “กากเผด็จการ” ทำให้การจัดตั้งรัฐบาลต้องผ่านการคัดกรองของ ส.ว. “ผู้รับใช้?” ที่ต้องมากำหนดโหวตตัวนายกรัฐมนตรีร่วมด้วย ทำให้พรรคการเมืองที่เลือกตั้งเข้ามา แม้จะได้เสียงข้างมาก ก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะได้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในทันที รวมถึงพรรคที่มีเสียงรอง ๆ ลงมา ถ้าไม่ใช่คนที่ ส.ว.เห็นชอบ ก็ไม่มีทางที่จะขึ้นมาสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนี้ได้

ประการต่อมา  ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจึงขึ้นอยู่กับพลังของ “ผู้มีพระคุณ” กับ “ผู้มีทุน” แต่ตอนนี้ผู้มีพระคุณแยกขั้วกันอยู่ หมดทางที่จะส่งเสริม “กาฝากระดับสูง” ให้เสวยสุขต่อไปได้ ส.ว.บางกลุ่มจึงดูทีท่าว่าจะมีผู้มีทุนคนใดมาฉกฉวยช่องว่างในจังหวะนี้หรือไม่ เพราะเป็น “หน้าเก็บหน้าเกี่ยว” อย่างน้อยก็อาจจะมีอะไร “ติดปลายนวม” เล็ก ๆ น้อย ๆ ก่อนที่จะพ้นตำแหน่งไปในกลางปีหน้า นี่จึงเป็นโอกาสของ “นายทุนผู้รับเหมา” ที่จะเข้ามาหยิบชิ้นปลามันได้อย่างง่ายดาย

อีกประการหนึ่ง คนและพรรคที่ได้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในครั้งนี้ ไม่ได้คิดหวังที่จะอยู่ในตำแหน่งอย่างยั่งยืน เพราะรู้ว่ายังไง ๆ การเมืองในสภาวะ “สลายชั้ว ตัวใครตัวมัน” คงจะอยู่ได้ไม่นาน และแม้ว่าจะไม่ได้มีโอกาสกอบโกยตามสันดานที่เคยเป็นมา แต่การได้ตำแหน่งนายกรัฐนตรีก็เป็นเกียรติยศสูงสุดแก่วงศ์ตระกูล ส่วนจะต้องมีการยุบสภาหรือถูกรัฐประหารก็ไม่ใช่สิ่งที่คนกลุ่มนี้จะเป็นกังวล ด้วยคิดว่ายังไงการเลือกตั้งด้วยรัฐธรรมนูญ 2560 นี้ ก็ยังมีช่องทางให้นักการเมืองแบบเก่า ๆ เข้ามาในสภาได้อีกอยู่ดี

พรรคการเมืองเก่า ๆ เขาคิดกันแบบนี้ พรรคใหม่ ๆ แบบพรรคก้าวไกลคิดอะไรอยู่ แล้วจะสู้พรรคพวกนี้ได้หรือไม่ แม้จะถูกยุบพรรคไปก็ต้องคิดว่า จะตั้งพรรคใหม่มาสู้อย่างไร และจะเอาอะไรมาสู้

ถ้าจะให้เดา(ด้วยหลักวิชาและประสบการณ์)ว่าพรรคก้าวไกลกำลังคิดอะไรอยู่ และกำลังจะทำอะไรต่อไป ผู้เขียนมี “ข้อควรเดา” ดังนี้

ข้อแรก พรรคก้าวไกลคิดอยู่แล้วว่าการตั้งรัฐบาลโดยการสลายขั้วของพรรคเพื่อไทยนี้จะเต็มไปด้วยปัญหา ที่สุดก็จะตั้งอะไรรัฐบาลไม่ได้ ท้ายที่สุดก็จะต้องวกมาหาพรรคก้าวไกล นั่นคือพรรคก้าวไกลยังมั่นใจว่าพรรคของตนยังมีความสำคัญ และยังจะต้องเป็น “ผู้เล่นหลัก” ในกระดานการเมืองไทยแบบนี้ต่อไป

ข้อสอง อย่างไรก็ตามพรรคก้าวไกลก็คงจะตั้งรัฐบาลไม่ได้ เพราะมีแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีเพียงหนึ่งเดียว ที่กลับมาเสนอชื่อซ้ำไม่ได้(ตามที่ท่านวันนอร์ทึกทักเอาจากการที่ศาลรัฐธรรมนูญไม่รับคำร้องเรื่องนี้เมื่อวันที่ 16 ที่ผ่านมา) พรรคก้าวไกลจึงคิดว่าถ้าต่อไปสภาตั้งนายกรัฐมนตรีคนนอกไม่ได้ (หลังจากที่เสนอทั้งคุณอนุทิน พลเอกประวิตร หรือคุณพีรพันธ์ ไปหมดแล้ว) ก็ต้องเข้าสู่โหมดยุบสภาหรือมีเลือกตั้งใหม่ ซึ่งพรรคก้าวไกลคงจะต้องไปเตรียมตัวเพื่อกลับมา “แลนด์สไลด์” ให้ได้อีกครั้ง จึงคิดจะวางตัวเป็น “ขงเบ้งตีขิมบนกำแพง” ทำทีว่ามีความสุขสบาย เพราะคิดว่าตนเองมีข้อได้เปรียบในการเลือกตั้งครั้งต่อไปเหนือกว่าพรรคอื่น ๆ

ข้อสาม แต่พรรคก้าวไกลจะคิดหรือไม่ว่า พรรคก้าวไกลก็ไม่ได้อยู่ในฐานะได้เปรียบพรรคอื่น ๆ เพราะการชนะเลือกตั้งเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 นั้น เป็นเรื่องของ “กระแสเห่อหอมกลิ่นของใหม่” ที่พอมาถึงวันนี้พรรคก้าวไกลก็ถูกกลินซับไปอยู่ในวังวนของ “กลิ่นน้ำเน่า” ไปเรียบร้อย ทั้งยังมีภาพที่แสดงให้เห็นว่า “อ่อนหัด” หรือ “หมดกระบวนท่า” ไม่มีวิธีการที่จะต่อสู้กับพวกเขี้ยวลากดินเก่า ๆ นั้นได้ ที่แย่ไปกว่านั้นก็คือยังไม่สามารถสลัดภาพ “ความกังวลของสังคม” ที่คนรุ่นเก่ากับฝ่ายอนุรักษ์ตั้งเป็นข้อคัดค้าน คือการล้มล้างสถาบันและนโยบายปฏิรูปทั้งหลายนั้น ว่าพรรคก้าวไกลจะเอายังไงกับเรื่องเหล่านี้ต่อไป

ข้อสุดท้าย มาถึงวันนี้ก็ไม่มีความมั่นใจว่า พรคก้าวไกลจะกลับมายิ่งใหญ่เหมือนเดิมได้หรือไม่ ยิ่งถ้าถูกยุบพรรคจากกรณีข้อร้องเรียนหลาย ๆ เรื่องที่ “จ่อคอหอย” อยู่ แฟนคลับและพวกด้อมส้มก็คงใจตุ้ม ๆ ต้อม ๆ พรรคนี้ก็น่าจะหมดอนาคตไปเลย แบบ “ไปไม่กลับ หลับไม่ตื่น ฟื้นไม่มี หนีไม่พ้น” แม้ว่าต่อไปในการเลือกตั้งที่จะมีในครั้งต่อไป ตัวตึงของพรรคนี้หลายคนอาจจะกลับมารวมกันได้ แต่ที่แน่ ๆ ก็คงจะมีหลาย ๆ คนกระจัดกระจายไปอยู่ในพรรคอื่น “ความกร่าง - ความซ่า” ของคนในพรรคนี้ก็ยังเป็นที่จดจำของผู้เลือกตั้งอยู่อย่างแน่นอน ซึ่งก็หมายความว่าคนของพรรคนี้แม้จะไปอยู่ในพรรคใด ๆ ก็จะไม่ได้กลับมายิ่งใหญ่แบบเดิมอีก

วิธีหนึ่งที่จะยังทำให้พรรคก้าวไกล “ยังคงมีชีวิตอยู่” ก็คือ ผู้บริหารของพรรคควรจะออกมาประกาศแนวทางในการดำเนินการต่าง ๆ ในภาวะที่พรรคเพื่อไทยกำลัง “ไม่มีทางออก - ไปไม่เป็น” อยู่ตอนนี้ เพื่อให้การเมืองไทยยังมีที่พึ่งที่หวัง อย่างน้อยก็ด้วยหัวสมองและฝีมือของ “เด็ก ๆ” ที่ดีกว่าผู้ใหญ่ที่เล่นไล่งับหางกันอยู่

เอาน้ำราดเข้าไปในพวกคนที่ฟัดกันวุ่นวายเหล่านั้น แค่นั้นก็ได้ชื่อเสียงและเรียกศรัทธาคืนมาได้แล้ว