หลังเข้ารับตำแหน่ง นายกฯคนที่30 ผ่านพ้นไปยังไม่ถึง 2เดือน แต่ดูเหมือนว่า เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง กำลังเผชิญหน้ากับหลายเหตุการณ์ แม้จะต่างกรรม แต่กลับอยู่ในวาระเดียวกัน ในห้วงเวลาไล่เลี่ยกัน !
สถานการณ์น้ำท่วมจนเกิดวิกฤติในหลายพื้นที่ หลายจังหวัด ส่งผลให้นายกฯจะต้องนำคณะลงพื้นที่ ไปติดตามการให้ความช่วยเหลือ ตามมาด้วยเหตุการณ์กราดยิงที่ห้างพารากอน เมื่อผู้ก่อเหตุคือ เยาวชนชายวัย 14ปี และผู้เสียชีวิตคือ คนจีนและชาวเมียนมา
นั่นหมายความว่า รัฐบาลไทย นั่งไม่ติด เพราะเรื่องนี้ได้กลายเป็นเรื่องที่รัฐบาลไทย ต้องชี้แจงให้ความมั่นใจกับจีน เมียนมาและลาว ในเรื่องกระบวนการทางคดี และการเยียวยาผู้บาดเจ็บชาวลาว และผู้เสียชีวิต ชาวจีนและชาวเมียนมา
ล่าสุดเกิดเหตุการณ์ฮามาสโจมตี อิสราเอล อย่างหนัก จนอิสราเอลได้ประกาศภาวะสงคราม เมื่อวันที่ 7 ต.ค.66 ที่ผ่านมา และจากเหตุดังกล่าวส่งผลให้ แรงงานไทย ที่อิสราเอล ได้รับผลกระทบ ทั้งบาดเจ็บ เสียชีวิต และถูกกลุ่มฮามาส จับตัวไป 11 คน
ทว่าประเด็นต่างๆ คือการบริหารจัดการในฐานะรัฐบาลไทย แต่เรื่องร้อน ที่กำลังกลายเป็น เรื่องใหญ่ สร้างแรงกระทบต่อทั้งตัวนายกฯเศรษฐาและพรรคเพื่อไทย มากกว่าใคร สืบเนื่องจากกรณีที่มีเสียงคัดค้านจาก นักเศรษฐศาสตร์ นักวิชาการ ร่วมถึงลงชื่อในแถลงการณ์ค้านนโยบายแจกเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาท โดยชี้ว่าจะได้ไม่คุ้มเสีย
ทั้งนี้ในรายชื่อกว่า 100 รายในแถลงการณ์ดังกล่าว พบว่ามี 2อดีตผู้ว่าการแบงค์ชาติ ทั้ง วิรไท สันติประภพ และ ธาริษา วัฒนเกศ และหากย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ อย่าลืมว่า เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการแบงค์ชาติคนปัจจุบัน เคยออกมาแสดงความเห็นเมื่อราวกลางเดือนก.ย.ที่ผ่านมาว่า ด้วยกังวลว่า นโยบายดังกล่าวจะกระทบเสถียรภาพการเงิน เสนอแนะให้แจกเงินเฉพาะกลุ่มประหยัดงบมากกว่า
จนทำให้เกิดข่าวลือไปไกลว่า ผู้ว่าการแบงค์ชาติ อาจจะโดนปลด ทำให้นายกฯต้องรีบออกมาปฏิเสธ ข้ามประเทศ ขณะเดินทางไปปฏิบัติภารกิจที่นิวยอร์ค
อย่างไรก็ดี เมื่อเสียงเตือนที่ดังขึ้นจาก ฟากนักวิชาการ นักเศรษฐศาสตร์ และอดีตผู้ว่าการแบงค์ชาติ ต่อนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต นอกจากจะไม่ได้ทำให้นายกฯเศรษฐา ติดเบรก แต่ยังเลือกประกาศ ดังๆว่า ไม่ยกเลิก ดูจะเป็นเรื่องยากว่า การผลักดันนโยบายชิ้นโบว์แดง เรื่องนี้ จะฝ่ากระแส และเดินหน้าต่อไปได้อย่างไร !?