เสือตัวที่ 6

ความรุนแรงเป็นพฤติกรรมหรือการกระทำใดๆ ก็ตามที่ละเมิดสิทธิส่วนบุคคลอื่น ทั้งทางร่างกาย วาจา และนำมาซึ่งอันตรายหรือความทุกข์ทรมานต่อผู้ถูกกระทำทั้งด้านร่างกายและจิตใจโดยความรุนแรงนี้สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งทางกาย และทางวาจา ทั้งนี้ หากจะให้ความหมายของรูปแบบความรุนแรงนั้น สามารถแบ่งรูปแบบความรุนแรงที่เกิดขึ้นในพื้นที่ปลายด้ามขวานตลอดระยะเวลากว่า 20 ปี ในด้านร่างกายเป็นการทำร้ายร่างกายเจ้าหน้าที่ของรัฐตลอดจนประชาชนผู้คนที่บริสุทธิ์โดยการใช้อาวุธและวัตถุระเบิดสร้างความรุนแรงทำลายทั้งชีวิตและทรัพย์สินของผู้เห็นต่างอย่างไร้เหตุผลนอกจากนั้น ในพื้นที่ความเห็นต่างแห่งนี้ ยังสร้างความรุนแรงทางด้านจิตใจโดยการปลุกระดมทุกรูปแบบผ่านกิจกรรมต่างๆ ในพื้นที่ทั้งที่เปิดเผยและที่ไม่เปิดเผย เพื่อมุ่งก่อให้เกิดความเกลียดชังอย่างสุดโต่งระหว่างกลุ่มเป้าหมายฝ่ายตนกับคนเห็นต่าง อันจะนำไปสู่การสร้างแนวร่วมมวลชนเพื่อร่วมกันขับเคลื่อนการต่อสู้ของขบวนการร้ายแห่งนี้ไปสู่จุดหมายปลายทาง ซึ่งนั่นก็คืออิสระในการปกครองกันเองตามวิถีความเชื่อที่กลุ่มแกนนำขบวนการแห่งนี้ต้องการ

ความพยายามในการต่อสู้ของรัฐกับขบวนการแบ่งแยกผู้คนในพื้นที่กับคนเห็นต่างทั้งที่อาศัยอยู่ในพื้นที่และที่อยู่ในพื้นที่อื่นของรัฐโดยมีกลุ่มขบวนการ BRN เป็นกลุ่มหลักในการต่อสู้กับรัฐ โดยที่รัฐใช้ความพยายามทุกรูปแบบอย่างเป็นยุทธศาสตร์ที่เริ่มจากการควบคุมสถานการณ์ความรุนแรงให้อยู่ในระดับที่รัฐสามารถยอมรับได้ และประเด็นยุทธศาสตร์การควบคุมสถานการณ์ความรุนแรงด้วยอาวุธเหล่านั้น ต้องยอมรับว่ารัฐก็สามารถขับเคลื่อนได้จนเป็นผลสำเร็จ ทำให้ความสามารถในการก่อเหตุรุนแรงของขบวนการร้ายแห่งนี้ไม่สามาถกระทำได้อย่างเสรีอย่างที่เคยทำมา ซึ่งนั่นทำให้สถิติการก่อเหตุร้ายในพื้นที่แห่งนี้ลดลงอย่างเห็นได้ชัด อันเป็นการบีบบังคับให้กลุ่มแกนนำขบวนการ BRN จำต้องปรับยุทธศาสตร์การต่อสู้ของขบวนการ ไปเป็นการต่อสู้ทางความคิด เร่งปลุกระดมสะสมบ่มเพาะแนวความคิดให้เกิดความเห็นต่าง สร้างการแบ่งแยกกลุ่มตนกับคนกลุ่มอื่นที่เห็นไม่เป็นไปในแนวทางเดียวกับกลุ่มตน จนความเห็นต่างอย่างธรรมดา ขยายตัวไปเป็นความเครียดแค้นเกลียดชังทางความคิดและจิตใจอย่างสุดโต่ง ผ่านการพูดและการเขียนสื่อสารไปในสื่อสาธารณะอันเป็นการต่อสู้อีกรูปแบบหนึ่งซึ่งรัฐจะต้องรู้เท่าทันปรากฏการณ์นี้อย่างถ่องแท้ เพราะภาพที่สถานการณ์ความรุนแรงลดน้อยถอยลงในทุกวันนี้หาใช่การเอาชนะขบวนการ BRN ได้อย่างสิ้นเชิง ด้วยการสู้รบในสมรภูมิแห่งนี้ยังคงดำเนินต่อไปในรูปแบบของการสร้างความรุนแรงทางความคิดและจิตใจซึ่งมันพร้อมที่จะลุกลามขยายตัวออกไปเป็นการแบ่งแยกจากรัฐในรูปแบบอื่นที่พวกเขาเตรียมการไว้แล้ว

ยุทธศาสตร์การต่อสู้ของรัฐจึงต้องเร่งปรับตัวให้ทันกับยุทธศาสตร์การต่อสู้ของขบวนการ BRN ให้เท่าทัน ทั้งการต่อสู้เพื่อเอาชนะจากภายใน ร่วมกับยุทธศาสตร์การเอาชนะจากภายนอกที่มีประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซียเป็นพันธมิตรสำคัญในการเอาชนะขบวนการ BRN อันเป็นการปิดล้อมทางยุทธศาสตร์ต่อ BRN ไม่ให้ใช้มาเลเซียเป็นฐานในการปฏิบัติการได้อีกต่อไป และก้าวย่างของรัฐโดยนายกฯ ของไทยก็กำลังขับเคลื่อนยุทธศาสตร์กระชับความร่วมมือกับผู้นำมาเลเซียที่เกิดขึ้น จึงเป็นก้าวย่างสำคัญในการยุติความรุนแรงทางความคิดและจิตใจที่ขบวนการ BRN หมายมั่นปั้นมือที่จะใช้เป็นเครื่องมือต่อสู้กับรัฐไทยในปัจจุบันนี้โดยการเปิดตัวเชิงรุกของฝ่ายนายกฯ มาเลเซีย ที่เป็นฝ่ายเชื้อเชิญนัดหมายนายกฯ ของไทย พูดคุยเพื่อแสวงหาความร่วมมือกันขับเคลื่อนการยุติความรุนแรงในพื้นที่ของไทยมากว่า 20 ปีให้ได้อย่างแท้จริง

ปรากฏการณ์การนัดพบปะกันแบบ Exclusive ของนายกฯมาเลเซีย นายอันวาร์อิบราฮิม กับนายกฯเศรษฐาของไทย โดยมีวาระสำคัญคือ ความร่วมมือระหว่างประเทศอย่างจริงจังเพื่อยุติความขัดแย้งที่จะนำไปสู่ความรุนแรงในทุกรูปแบบในพื้นที่ปลายด้ามขวาน โดยล่าสุดมีข้อมูลจากทำเนียบรัฐบาลแจ้งว่า นายกฯ ของมาเลเซีย ขอนัดพบนายกฯ ของไทย เพื่อหารือเรื่องโครงการก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย-มาเลเซีย แห่งที่ 2 ที่ อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส ซึ่งเป็นโครงการที่หยุดชะงักมานาน ให้มีความคืบหน้าต่อไป โดยผู้นำของสองประเทศนัดพบกันที่ จ.นราธิวาส อาจจะเป็นที่ อ.สุไหงโก-ลก เพื่อประโยชน์ของทั้งสองประเทศโดยประเด็นในการหารือเพื่อการทำงานร่วมกัน คือการจำกัดความเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงด้วยการใช้อาวุธ และความรุนแรงทางความคิดและจิตใจโดยมีกลุ่ม BRN เป็นตัวแสดงหลักสำคัญในช่วงเวลานี้ และมีข้อมูลที่พิสูจน์ได้อย่างชัดเจนว่ากลุ่มขบวนการแบ่งแยกดินแดนทั้งหลายใช้พื้นที่ของทั้งสองประเทศในการเคลื่อนไหว

ดังนั้นหากบรรลุการแสวงหาความร่วมมือระหว่างผู้นำสองชาติได้อย่างแท้จริงแล้ว ความร่วมมือระหว่างประเทศดังกล่าวจะสามารถจำกัดเสรีของกลุ่มขบวนการแบ่งแยกดินแดนเหล่านี้ได้ ก็จะสามารถยุติการก่อเหตุรุนแรงได้เกือบทั้งหมด และทั้งไทยและมาเลเซียจะสามารถเปิดพื้นที่เพื่อการพัฒนาร่วมกันต่อไป แต่อย่างไรก็ตาม ต้องเน้นย้ำว่าความรุนแรงดังกล่าวนั้น หาใช่การยุติความรุนแรงด้วยการใช้อาวุธเข้าทำร้ายทำลายชีวิตและทรัพย์สินของฝ่ายเห็นต่างเท่านั้น แต่ความรุนแรงในห้วงเวลานี้ฝ่ายขบวนการ BRN กำลังเดินหน้าบนเส้นทางของการสร้างความรุนแรงทางความคิดและจิตใจให้คนในพื้นที่ถอยห่างออกจากความเป็นรัฐไทยมากขึ้นๆ จนเมื่อถึงโอกาสที่เอื้ออำนวยแล้ว ความรุนแรงทางความคิดและจิตใจเหล่านั้นจะเป็นพลังให้ขบวนการร้ายแห่งนี้บรรลุเป้าหมายที่พวกเขาต้องการ ซึ่งรัฐไทยต้องตระหนักรู้และทำให้ความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านไม่ติดกับดักของการยุติความรุนแรงด้วยอาวุธเท่านั้น หากแต่จะต้องรวมไปถึงการยุติความรุนแรงทางความคิดและจิตใจได้อย่างสมบูรณ์