ร้อยเอก ดร.จารุพล เรืองสุวรรณ

ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงระหว่างประเทศ

สถาบันการทูตและการต่างประเทศ มหาวิทยาลัยรังสิต

เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ผมมีโอกาสได้รับเชิญให้ไปแสดงวิสัยทัศน์ด้านการเมืองและความมั่นคงระดับภูมิภาคและระดับโลก ที่จัดขึ้นโดย Fudan University และ กระทรวงการต่างประเทศจีน เพื่อรับฟังวิสัยทัศน์และข้อเสนอแนะจากผู้เชี่ยวชาญทั้งในจีนและต่างประเทศ อาทิ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ สิงคโปร์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย สปป.ลาว และไทย เลยได้มีโอกาสหารือ แลกเปลี่ยนในความคิดกับผู้เชี่ยวชาญด้านการเมืองและความมั่นคงทั่วเอเชีย โดยมี รัฐมนตรีช่วยกระทรวงการต่างประเทศจีน เป็นประธานเปิด

สิ่งที่น่าสนใจที่สุด อยู่ที่การแสดงวิสัยทัศน์ของผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งต้องบอกว่า เป็นการแสดงวิสัยทัศน์ที่ “ชัดเจน” แบบ “ดุดัน ไม่เกรงใจใคร” โดยใจความสำคัญบอกว่า จีนให้ความสำคัญมากๆกับประเทศในภูมิภาคเอเชีย และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ “แนวทางและวิถีชีวิตของชาวเอเชีย” ในการร่วมมือและแก้ไขปัญหาระหว่างประเทศ โดยมุ่งเป้าอย่างชัดเจนต่อการมีบทบาทและสร้างความร่วมมือกับประเทศรอบด้านด้วยความนุ่มนวลและเน้นด้านการพัฒนา ใช้แนวทาง วินวิน เพื่อให้ทุกคนได้ประโยชน์ โดยมิวายแซะยักษ์ใหญ่อีกซีกโลกแบบดุดันไม่เกรงใจใคร ว่ามีความมุ่งหมายที่จะแบ่งแยกโลกและเอเชียออกเป็นเสี่ยงๆเหมือนที่ทำกับภูมิภาคอื่นๆ และเป็นผู้นำด้านการแบ่งแยก จีนในฐานะ “ผู้นำ” จึงพยายามที่จะใช้ความสัมพันธ์ฉันท์มิตรสร้างความเป็นปึกแผ่นแทนการแตกแยกว่าอย่างนั้น

ได้ฟังแล้วก็ต้องบอกว่า ขนลุกเบาๆ เพราะนอกจากเคลมความเป็น “ผู้นำโลก” อย่างชัดเจนแล้ว เมื่อดูสิ่งที่จีนจะทำต่อไป ก็ต้องบอกตามตรงว่า ประเทศไทยของเรานั้นก็เป็นส่วนหนึ่งของแผนการของจีนในการขยายอิทธิพลทั้งทางเศรษฐกิจและการเมือง “แบบเต็มๆ” โดยเฉพาะนโยบายหลักของจีนอย่าง Belt and Road Initiative หรือ BRI 

BRI หลังจากนี้มีการขยายตัวทั้งในด้าน Hard infrastucture and Soft infrastucture.

Hard Infrastucture ได้แก่ ทางรถไฟ ถนน การเชื่อมโยงต่างๆ ส่วนในด้าน Soft Infrastucture ก็ได้แก่ด้านการพัฒนาทางดิจิทัล ด้านสุขภาพ และด้านการศึกษา เป็นต้น ซึ่งวิธีการของจีน คือการหยิบยื่นความช่วยเหลือ การพัฒนา และการลงทุนเข้าไปในประเทศที่มีความต้องการ เน้นประเทศที่ยากจนและอยู่รอบข้าง มีประโยชน์กับจีนทั้งในด้านเศรษฐกิจและทางยุทธศาสตร์ โดยจะใช้การพูดคุยโดยตรงของผู้นำระดับสูงของประเทศ

ซึ่งเมื่อวิเคราะห์แล้วจะเห็นได้ว่า เป็นวิธีการที่ชาญฉลาดและแยบยล ใช้ความต้องการ (Demand) เป็นตัวตั้ง เจาะไปยังกล่องดวงใจของประเทศกำลังพัฒนาต่างๆ เอาความเจริญ ถนนหนทาง ไปมอบให้ ซึ่งแน่นอนว่า ยากจะปฏิเสธ ใช้ความละมุนละม่อม ใช้เศรษฐกิจและภาคเอกชน (ที่มีรัฐอยู่เบื้องหลัง) เป็นหัวหอกนำเข้าไปยังประเทศต่างๆ ทำให้ความร่วมมือและการบุกเข้าไปในประเทศต่างๆทำได้ง่ายขึ้นและไม่ดูเป็นการแทรกแซง ใช้เม็ดเงินจำนวนมหาศาลแทนกระสุนปืนเข้าไปคว้าผลประโยชน์ของชาติมา เพราะแน่นอนว่าการช่วยเหลือต่างๆ ไม่ได้ทำเพราะใจบุญ แต่มีภารกิจแฝงทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและอิทธิพลทางการเมืองระหว่างประเทศ เรียกว่าเดินเกมการเมืองระหว่างประเทศด้วย Soft Power แบบเต็มๆ

ไทยเราก็อยู่ในแผนของ BRI ทั้งการสร้างถนนหนทาง ทางรถไฟ จากเหนือลงสู่ใต้ ยังไม่นับการขุด “คลองไทย” ที่ดูท่าทางหมายมั่นปั้นมือเป็นอย่างมาก ถึงกับส่งนักธุรกิจระดับบิ๊กมาเทียวไล้เทียวขื่อตั้งแต่รัฐบาลที่แล้วจนปัจจุบัน ซึ่งหากคลองไทยเกิดขึ้นจริง จะเป็นประเด็นระดับโลกอย่างแน่นอน สิงคโปร์จะประสบปัญหาหลายอย่าง และแน่นอนว่าพี่ใหญ่ของสิงคโปร์ก็คงจะไม่ยอมง่ายๆ

“คลองไทย” จะมีความสำคัญทั้งในแง่เศรษฐกิจและยุทธศาสตร์ทางทหาร เพราะเป็นเส้นทางการเดินเรือที่สำคัญ และเป็นเหตุผลที่ทำไมสหรัฐจึงไม่เคยปล่อยมือจากสิงคโปร์ซึ่งตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์สำคัญ ถ้าจีนทำคลองไทยได้ จุดยุทธศาสตร์สำคัญของโลกอาจเปลี่ยนไป จะเห็นได้ว่า จีนจะทำอะไรนั้น ไม่ได้คิดชั้นเดียว ไม่ได้หวังประโยชน์ต่อเดียว แต่ยิงปืนนัดเดียวต้องได้นกหลายตัว จึงจะคุ้มต่อการ “ลงทุน”

การตกอยู่ในเป้าหมายการพัฒนาของจีน แน่นอนว่ามีทั้งข้อดีและข้อเสีย และเป็นโจทย์หินที่รัฐบาลต้องพิจารณาให้ดี เพราะประเทศไทยเราอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ ที่ยักษ์ใหญ่ทั้งสองฝั่งต่างต้องการดึงเป็นพวกในสถานการณ์การแข่งขันกันอย่างเข้มข้น เมื่อวัวใหญ่ชนกัน อยู่อย่างไรให้รอดไม่กลายเป็นหญ้าน้อยที่อยู่ท่ามกลางสมรภูมิ ต้องสรรหาแนวทางทางการทูตและการเมืองระหว่างประเทศที่เฉียบคม ที่จะทำให้เกิดทั้งโอกาสกับประเทศมากที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฐานะประเทศที่ยังต้องพึ่งพาประเทศยักษ์ใหญ่ทั้งสองด้าน ท่ามกลางสถานการณ์โลกที่ร้อนระอุเช่นนี้การเอนไปทางใดทางหนึ่งเพียงด้านเดียวย่อมไม่เป็นการดี

จากท่าทีของจีนเช่นนี้ ความยากยิ่งทวีคูณ อยู่ห่างก็เสียโอกาส เข้าใกล้มากก็อาจจะเสียโอกาสอีกด้านหนึ่ง แถมการจะอยู่ห่างก็ทำได้ยากเพราะเขาใช้ด้านการพัฒนานำเข้ามา ก็คงจะต้องหนีไม่พ้นการเล่นบทเป็น “สาวสวย” ที่มีหนุ่มๆมารุมจีบ ทำอย่างไรจะได้ประโยชน์มากที่สุด แต่ก็คงไม่ใช่การเป็น “ไผ่ลู่ลมอีก” อีกต่อไป เพราะอย่างที่อาจารย์สุรเกียรติท่านบอกไว้ “ว่าทุกวันนี้ลมมันมาจากหลายทิศ ลู่ไปลู่มาระวังจะหักเอา”  

สุดท้ายความคิดความเห็นของประชาชนในปัจจุบันก็ไม่สามารถมองข้ามได้ จะทำอะไรว่ากันในวงเล็กๆ ก็เสี่ยงจะถูกต่อต้านจากประชาชน สถานการณ์การเมืองในโลกยุคนี้ ต้องบอกว่า ไม่ว่าจะเป็นความร่วมมือ หรือความขัดแย้ง ประเทศจะเดินไปทางไหนย่อมถูกกดดันได้ทั้งสิ้น ก็เป็นไปตามโลกที่เชื่อมโยงมากขึ้น ประชาชนก็มีพลังมากขึ้นนั่นเอง

เมื่องมองโลกแล้วมาเหลียวไทย งานนี้ก็ต้องบอกว่า “ปาดเหงื่อ”

ท้ายสุดตอนจับมือกัน ท่านรัฐมนตรีช่วยการต่างประเทศจีนบอกว่า “ยินดีด้วยนะครับที่คุณได้นายกฯใหม่ เราได้คุยกันแล้ว และท่านให้ความร่วมมือกับเราดีมากๆ” ก็ต้องรอดูกันต่อไปว่าท่านรัฐมนตรีพูดแค่เป็นพิธี หรือเป็นเรื่องจริงมากน้อยเพียงใด และไทยแลนด์จะเดินต่อไปข้างหน้าอย่างไรในอนาคต

เอวัง