การเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎร สมัยสามัญ เริ่มขึ้นแล้ว  ตั้งแต่วันที่ 12 ธ.ค.66 และจะกินเวลาจากนี้ไปจนจบสมัยประชุมอีกหลายเดือน 
 
หมายความว่าเมื่อสภาฯเปิด ฝ่ายนิติบัญญัติ จะมีบทบาทในการตรวจสอบ ฝ่ายบริหาร คือ รัฐบาล อย่างได้น้ำ ได้เนื้อ โดยเฉพาะรอบนี้ คือการเวทีให้ พรรคก้าวไกล ในฐานะพรรคแกนนำฝ่ายค้าน รวมทั้งยังเป็นการเปิดโอกาสให้ ชัยธวัช ตุลาธน   สส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะหัวหน้าพรรคก้าวไกล เตรียมตัวเข้ามาทำหน้าที่ ผู้นำฝ่ายค้าน ในสภาฯ เมื่อได้รับการโปรดเกล้าฯแต่งตั้ง ไปแล้ว 
 
แต่ดูเหมือนว่า วันนี้พรรคก้าวไกลเอง ย่อมประเมินได้ไม่ยากว่า การทำหน้าที่ฝ่ายค้านในสภาฯ ไปพร้อมๆกับการดึงเรทติ้งพรรคกลับคืนมา หลังจากที่ เสียหายหนัก จากกรณีปัญหาส่วนตัว กรณี อดีตสส. ของพรรคถูกร้องเรียนละเมิดทางเพศทีมงานของพรรค จนนำไปสู่การมีมติ ขับออก จากพรรค ที่ผ่านมา 

 ความเสียหายจากกรณีดังกล่าว แม้จะเป็นเรื่องส่วนบุคคล แต่แกนนำของพรรคเอง ยอมรับว่า กระทบ ไม่ว่าจะมากหรือน้อย ! 

 ทั้งนี้ปัญหาส่วนตัวที่กำลังกระทบต่อจำนวนสส.และการทำหน้าที่ ฝ่ายค้าน ในสภาฯ ไปจนถึงขวัญกำลังใจของคนในพรรค รวมทั้ง ด้อมส้ม บรรดากองเชียร์พรรคก้าวไกลนั้น คือปัญหาที่สส.ก้าวไกล ยังรอคิว ฟังการชี้ชะตา จากศาลในคดีความผิดอาญา มาตรา 112 เกี่ยวกับการดูหมิ่นสถาบัน ต่อจาก ไอซ์ รักชนก ศรีนอก สส.กทม.  ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และความผิดตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯเป็นเวลา 6 ปี จากการทวีตและรีทวิตข้อความที่มีเนื้อหาที่เข้าข่ายหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ ทั้งนี้ศาลมีคำสั่ง อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวจำเลยระหว่างอุทธรณ์  แต่ไม่ได้หมายความว่าคดีนี้จะจบลง 

 และเมื่อต่อจากคิวไอซ์ รักชนก ยังพบว่ามีสส.ของพรรคก้าวไกล ยังต้องลุ้นระทึกในความผิดตามมาตรา 112 ด้วยกันอีก 2 ราย คือ ปิยะรัฐ จงเทพ สส.กทม. และชลธิชา แจ้งเร็ว  สส.ปทุมธานี   เมื่อศาลมีคำพิพากษาในฐานความผิด ชี้ว่าไอซ์ รักชนกมีความผิดจริง และสั่งให้จำคุกรวม6ปี  แม้จะให้ประกันตัวไปเมื่อวันที่ 13 ธ.ค.ที่ผ่านมา 

 และรักชนก ยังสามารถรักษา สถานะสส. เอาไว้ได้ เนื่องจากยังไม่ต้องเดินเข้าเรือนจำจนทำให้ขาดคุณสมบัติ แต่ตราบใดที่คดียังไม่จบ และศาลมีแนวคำพิพากษาคดี มาตรา 112 เอาไว้แล้ว โอกาสที่ปิยะรัฐ และชลธิชา รอลุ้นว่าจะ รอด ดูจะริบหรี่ ลงทุกที !