เสรี พงศ์พิศ

Fb Seri Phogphit

 

ไม่ว่าจะตีความแบบศาสนิกสุดขั้ว หรือคนค้ากำไรสุดโต่ง ต่างก็อยากให้คริสต์มาสและปีใหม่เป็นเทศกาลแห่งความสุข คือ เทศกาลแห่งการให้ ไม่ว่าจะด้วยการแบ่งปัน ให้ของขวัญ หรือขายสินค้า

หลายประเทศในยุโรป บรรยากาศแห่งการฉลองเริ่มตั้งแต่ปลายเดือนพฤศจิกายน อากาศหนาว หิมะตก ในเมืองต่างๆ ตามจตุรัสลานกว้าง มีการตั้งร้านตั้งซุ้มขายอาหาร เครื่องดื่ม ขนม ช็อกโกแลต สิ่งของที่คนต้องการไปเป็นของขวัญ บางประเทศอย่างเยอรมนีมีไวน์ร้อนต้มกับสมุนไพรไว้ให้คนดื่มคลายหนาว

ตามถนนหนทาง บ้านเรือน ร้านค้า ประดับประดาด้วยไฟหลากสี และเครื่องตกแต่งหลากหลาย ที่คนค้าขายไม่พลาดที่จะเสนอออกมาใหม่ทุกปี

ครอบครัวในยุโรปมักจะเตรียมของขวัญให้ลูกๆ คนละหลายกล่อง วางไว้ใต้ต้นคริสต์มาส รวบยอดสิ่งที่ลูกจำเป็นและอยากได้ทั้งปีมาไว้ในคืนวันคริสต์มาส เพื่อให้เป็นของขวัญวันแห่งความสุขที่รอคอยมานาน

ทุกวันนี้ ไม่ว่าที่ไหนประเทศใดในโลก บรรยากาศการฉลองคริสต์มาสปีใหม่แพร่ไปทั่วด้วยการส่งเสริมการขายสินค้า รวมไปถึงการส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างที่หน่วยงานราชการไทยไปส่งเสริมงานแห่ดาวที่ “ท่าแร่ สกลนคร” ซึ่งเป็นประเพณีที่ทำกันมานาน แต่วันนี้ถูกโปรโมตให้ยิ่งใหญ่อลังการ

มีขบวนรถประดับประดาด้วยดาวขนาดต่างๆ นานเข้าก็มีสาวงามไปนั่งตากลมหนาวบนรถ คล้ายขบวนแห่ในงานเทศกาลประเพณีต่างๆ ของไทย  ตามถนนหนทางและบ้านเรือนมีการตกแต่งด้วยไฟหลากสี ดาวน้อยใหญ่เป็นพันเป็นหมื่นดวง  จากแห่ดาวบนบก ขยายไปแห่ในน้ำหนองหาร ด้วยเรือประดับไฟประดับดาว

จากท่าแร่ขยายไปสกลนคร จากพิธีกรรมทางศาสนา ถูกพาณิชยนิยมลากไปเป็นเรื่อง “นอกศาสนา” (secularized) ดึงเอาใครต่อใคร สถานศึกษา ไม่ว่าศาสนาใด ให้ทำดาวมาร่วมขบวนแห่ ประกวดประชัน ด้วยแนวคิด “ซอฟต์พาวเวอร์” ของรัฐบาลประชานิยม ด้วยแนวทางทุนนิยมผสมราชการเป็นเครื่องมือโปรโมต

ตั้งแต่ 70 กว่าปีก่อน ที่บ้านเกิดของตนเองแห่งนี้ที่จำความได้ ก็เคยมีการแห่ดาวในวันคริสต์มาสแล้ว ไม่ได้เป็นขบวนยาวเป็นกิโลเมตรสุดหมู่บ้านอย่างวันนี้ มีเพียงแห่ดาวเล็กใหญ่ไปรอบๆ วัด บรรยากาศชวนศรัทธา มีการขับร้องเพลงคริสต์มาสแล้วก็เข้าวัดร่วมพิธีมิสซา  

ตอนเช้าวันที่ 25 มิสซาวันฉลองใหญ่ มีวงดนตรีพื้นบ้านบรรเลงเพลงโหมโรง ก่อนและหลังพิธีอย่างยิ่งใหญ่ (นับเป็นความกล้าหาญที่คุณพ่อเจ้าวัดที่เป็นฝรั่ง นำเอาชาวบ้านที่เป่าแคน เป่าขลุ่ย ตีขิม สีซอ พร้อมกับหีบเพลง เข้าไปเล่นในวัดก่อนมีการปฏิรูปศาสนาและพิธีกรรมในปี 1965 หลังสังคายนาวาติกันที่ 2)

การแห่ดาวที่ท่าแร่ถูกส่งเสริมให้เป็นงานเทศกาลเพื่อการท่องเที่ยว ที่ราชการต้องการบันทึกเป็นผลงาน แม้งบประมาณที่ให้ไปจะน้อยนิดเมื่อเทียบกับสิ่งที่ชาวบ้าน “ลงทุน” ทำกัน จากแรงกระตุ้นของค่านิยมยุคใหม่ที่ต้องการทำอะไรให้ “ยิ่งใหญ่อลังการ” ที่สื่อต่างๆ ประโคมว่าเป็นงาน “หนึ่งเดียวในไทยและในโลก”

ที่จริง เรื่องการฉลองกัน “ภายนอก” จะให้ยิ่งใหญ่แค่ไหน แพงเท่าไรก็ว่ากันไป แต่ไม่ควรละเลยหรือมองข้ามเรื่อง “ภายใน” คือเรื่องจิตใจ เรื่องคุณค่าความหมายทางจิตวิญญาณ ที่ควรเน้นที่ครอบครัว เครือญาติ ชุมชน ควรมีคำแนะนำ การจัดการให้คริสต์มาสและปีใหม่เป็นเทศกาลปันสุขจริงๆ ไม่ใช่ฉลองกันแต่ภายนอก กินอิ่มหนำสำราญ ดื่มจนเมามายไม่ได้สติ จนเกิดอุบัติเหตุ กลายเป็น “เทศกาลปันทุกข์”

การฉลองเทศกาลปันสุขอย่างคริสต์มาสปีใหม่ในยุคนี้ควรเป็นเช่นไร ชุมชน (อย่างที่ท่าแร่) น่าจะมีการพูดคุยปรึกษาหารือกัน เพื่อให้ได้ความคิดดีมีพลัง ที่ทุกคนยอมรับนำไปปฏิบัติ ส่งเสริมให้เป็นเทศกาลแห่งการให้ทั้งของขวัญกันและกัน ไม่ว่าเล็กน้อยเพียงใดก็เป็นเครื่องหมายของความรัก

และการให้ที่ยิ่งใหญ่สุด คือ การให้อภัย ทำให้ครอบครัว พ่อแม่พี่น้องรักกันมากขึ้น ให้อภัยกัน ทำให้ชุมชนเกิดความสามัคคี รวมพลังกันแก้ปัญหาพัฒนาชุมชน

ความหมายขอการบังเกิดของพระเยซู คือ การคืนดีระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์  การฉลองคริสต์มาสที่ดีที่สุดของชาวคริสต์จึงน่าจะเป็นการเป็นคนดีในครอบครัว ในชุมชน ฟื้นฟูความเป็นพี่น้อง ซึ่งไม่ควรถูกกลบด้วยการกินดื่ม การแห่แหน พิธีกรรมภายนอก

สังคม ชุมชนไทยเองก็เราควรพิจารณาการจัดงานเทศกาลต่างๆ ไม่ไปตามกระแสที่ราชการและธุรกิจส่งเสริม อย่างเข้าพรรษา ออกพรรษา ลอยกระทง สงกรานต์ ซึ่งแทบจะหาคุณค่าและความหมายทางจิตวิญญาณไม่ได้ เพราะถูกกลบและลบเลือนไปด้วยการฉลองและกิจกรรม พิธีกรรมภายนอก หรือการซื้อการขายของ

เทศกาลปันสุขจึงสมควรกลับไปฟื้นฟูหรือสร้างสรรค์ “การปันสุข” ที่มีความหมายทางจิตใจ เพราะทุกคนต้องการความสุข แต่ก็ถูกบิดเบือนด้วยการส่งเสริมการท่องเที่ยว เพื่อธุรกิจ เพื่อผลงานของทางราชการ

ในยามที่โลกกำลังมีสงคราม ความขัดแย้ง ความทุกข์จากปัญหาเศรษฐกิจ งานฉลองเทศกาลต่างๆ ควรเน้นความสำคัญทางจิตวิญญาณ เพราะสันติภาพเกิดมาจากภายใน จากจิตใจที่มีเมตตา ให้อภัย ไม่เช่นนั้น แม้วันคริสต์มาส ในถิ่นที่พระเยซูทางบังเกิดเองยังเกิดสงคราม ยังยิงกันฆ่ากันอยู่ต่อไป

จำคำสอนของ “ผู้มีบุญ” ท่านหนึ่งที่สอนให้ “ปลง อโหสิ และแผ่” คือ ให้ปล่อยวาง ให้อโหสิกรรม และแผ่เมตตา แล้วบารมีจะเกิด สันติสุขภายในและภายนอกก็จะตามมา

สุขสันต์วันคริสต์มาส และสวัสดีปีใหม่ครับ