แนวรบฝั่ง ก้าวไกล กำลังเผชิญหน้ากับความยากลำบาก เมื่อคำวินิจฉัย ของ ศาลรัฐธรรมนูญ มีผลผูกพันทุกองค์กร !


 31 มกราคม 2567 ศาลรัฐธรรมนูญ ลงมติเป็นเอกฉันท์ 9 เสียง ชี้ว่าการกระทำของ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ในขณะนั้น กับพรรคก้าวไกล มีพฤติการณ์ขัดต่อมาตรา 49 ตามรัฐธรรมนูญ เข้าข่ายการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข  การกระทำบ่อนเซาะ ทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ ในการยื่นร่างพ.ร.บ.เสนอแก้ไข ม.112 โดยมี 44 สส. ของพรรคก้าวไกล เข้าชื่อยื่นร่างกฎหมาย 


 ผลพวงจากคำวินิจฉัยกำลังออกฤทธิ์ ตามมาต่อเนื่อง  เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ปรากฏว่ามี ผู้ร้อง ด้วยกัน 2 รายที่เดินหน้าลุยต่อ เพื่อ ลงดาบสอง ทั้งพิธา และพรรคก้าวไกล ! 


 รายแรกคือ เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ  สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ เดินทางไปยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อขอให้กตต.ส่งเรื่องไปยัง ศาลรัฐธรรมนูญ มีคำสั่ง ยุบพรรคก้าวไกล  โดยเรืองไกร ในฐานะผู้ร้อง แสดงความมั่นใจว่า พรรคก้าวไกล จะถูกยุบแน่นอน รวมทั้ง กรรมการบริหารพรรค ในชุดที่พิธา นั่งเป็นหัวหน้าพรรค จะต้องถูก ตัดสิทธิ์ เป็นเวลา 10ปีอีกด้วย 


 แต่ประเด็นที่น่าสนใจ และกำลังจะกลายเป็น วาระร้อน เรื่องใหม่  เมื่อเรืองไกร เปิดเผยต่อว่า ไม่เพียแต่ยื่นยุบพรรคก้าวไกล และฟันดาบสองพิธา จากคดีล้มล้างการปกครองฯ เท่านั้นทว่า ยังเปิด คิวต่อไปที่ พรรคเพื่อไทย ให้เตรียมรับมือ จากที่พรรคเคยใช้นโยบายเสนอแก้ไขม.112ในการหาเสียงที่ผ่านมา

 
  ขณะนี้กำลังเก็บรวบรวมข้อมูลอยู่ ไม่ต้องเป็นห่วง หากมีน้ำหนักพอก็จะยื่นเรื่องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ รวมถึงกรณีนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง และน.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ที่เคยหาเสียงในประเด็นแก้ไขมาตรา 112 


 หมายความว่า จากการกระทำในอดีตที่ดึง มาตรา112 ไปใช้หาเสียงของพรรคเพื่อไทย เพื่อหวังช่วงชิงกระแสจากพรรคก้าวไกลในการเลือกตั้งเมื่อเดือนพฤษภาคม 2566 ที่ผ่านมา นอกจากพรรคเพื่อไทย จะพ่ายแพ้ให้กับพรรคก้าวไกล เมื่อถูกช่วงชิงชัยชนะ พรรคอันดับหนึ่งไปแล้ว วันนี้ทั้ง นายกฯเศรษฐา และแพทองธาร ยังต้องมาลุ้นระทึกว่า ชะตากรรม ของพรรคเพื่อไทย จะเหมือนกับพรรคก้าวไกลหรือไม่ !?