การได้มาซึ่งอำนาจฝ่ายบริหาร เข้ามานั่งทำหน้าที่ “รัฐบาลใหม่” สำหรับ “พรรคเพื่อไทย” ไม่ใช่เรื่องยากเย็นนัก เมื่อมี “ตัวช่วยพิเศษ” นั่นคือ “ดีลลับ” จับมือข้ามขั้ว ผนึกแรงจาก “152สว.” ยกมือโหวตให้ “เศรษฐา ทวีสิน” ได้เป็นนายกรัฐมนตรี ได้สำเร็จ

 แต่เมื่อเข้าสู่อำนาจแล้ว ดูเหมือนว่าพรรคเพื่อไทย ต้องรับมือกับสถานการณ์ทั้ง “การเมือง” และ “เศรษฐกิจ” ที่รุมเร้าอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากสภาวะและตัวบุคคล   ยิ่งเมื่อ วันนี้ยังมี “พรรคก้าวไกล”  พรรคคู่แข่งที่มีความกล้าแข็ง พร้อมกวาดสส.เข้าสภาฯเหนือพรรคเพื่อไทยเมื่อการเลือกตั้งรอบหน้ามาถึง 

 ขณะเดียวกัน ยังพบว่า การผลักดัน “โครงการดิจิทัลวอลเล็ต” แจกเงินหมื่น ยังอยู่ในภาวะที่ต้อง “ชะงัก” เพื่อมีเสียง “ท้วงติง” เตือนว่ารัฐบาลต้องพิจารณาถึงความสุ่มเสี่ยงจะขัดต่อกฎหมายหรือไม่ หากยังคิดจะแจกเงินในภาวะที่ประเทศ ยังไม่ถึงขั้น “วิกฤต”  จริง 

 แม้ นายกฯเศรษฐา จะแสดงความเห็นต่อ “ข้อเสนอแนะ” จาก “คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ” ว่า “น้อมรับฟัง” แต่ยังคงทิ้งท้ายเอาไว้ในลักษณะที่ว่า ป.ป.ช. ไม่มีสิทธิมาขีดเส้น ว่ารัฐบาลจะทำหรือไม่ทำ 

 อย่างไรก็ดี อีกด้านหนึ่งในสายตาของรัฐบาล อาจมองได้ว่า ป.ป.ช. นั้นอยู่ฝั่งตรงข้าม ดังนั้นข้อเสนอแนะและเสียงเตือนจากป.ป.ช. จึงยังมี “ข้อแม้” ที่รัฐบาลจะเลือก “เดินตาม” นอกจากนี้ ยังพบว่า ความเห็นจาก “คณะกรรมการกฤษฎีกา”  ที่มีต่อโครงการดิจิทัลวอลเล็ต เองก็เคยเตือนมาแล้วว่า หากจะเดินหน้าต่อ ต้องพิจารณาว่าขัดต่อกฎหมายการเงินการคลังหรือไม่ ที่มีข้อขมวดเอาไว้ที่ “วิกฤตเศรษฐกิจ” 
 

นอกจากนี้ ล่าสุดยังพบว่า รัฐบาลโดยเฉพาะคนในปีกของพรรคเพื่อไทยเอง ต่างพากันออกตัว กดดัน “แบงก์ชาติ” โดยเฉพาะตัว “เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ”  ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มาอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่ที่ผู้ว่าฯธปท.เคยออกมาแย้ง การเดินหน้าดิจิทัลวอลเล็ต จนมาถึงเมื่อต้นสัปดาห์เมื่อทั้งนายกฯและภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯและรมว.พาณิชย์ กดดันให้มีการ “ลดดอกเบี้ย” เหลือ 2.25 
 

แต่ปรากฏว่าเมื่อวันที่ 7 ก.พ.ที่ผ่านมา “ ปิติ ดิษยทัต”  เลขานุการ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) แถลงผลการประชุมว่า มีมติ 5ต่อ 2 ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ร้อยละ 2.50 ต่อปี โดย 2 เสียง เห็นควรให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.25 ต่อปี 
 

“ เศรษฐกิจไทยในปี 2567 มีแนวโน้มขยายตัวชะลอลงจากภาคการส่งออก และการผลิต เนื่องจากอุปสงค์โลกและเศรษฐกิจจีนฟื้นตัวช้ารวมถึงปัจจัยเชิงโครงสร้างกระทบการขยายตัวของการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมและการท่องเที่ยวมากกว่าที่ประเมินไว้
 

แต่อุปสงค์ในประเทศยังขยายตัวต่อเนื่อง และเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของเศรษฐกิจ ด้านอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำ โดยมีแนวโน้มทยอยเพิ่มขึ้นเข้าสู่กรอบเป้าหมายช้ากว่าที่ประเมินไว้” ปิติ แถลงเอาไว้ตอนหนึ่ง 
 

หมายความว่า เสียงจาก นายกฯเศรษฐา และมือเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทย ไร้ผลต่อการตัดสินใจของกนง. ทั้งนี้กรรมการในกนง.มีทั้งสิ้น 7คน พบว่าเป็นคนของแบงก์ชาติ 3 คน ซึ่งมี ผู้ว่าฯธปท. ที่เหลืออีก 4 คนมาจากผู้ทรงคุณวุฒิ จากภายนอก  
 

ศึกรอบทิศรอบทาง ที่โถมเข้าสู่รัฐบาลโดยเฉพาะนายกฯและพรรคเพื่อไทย ว่ากันว่า เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น และอย่าลืมว่า ปัญหาการร้องเพลงคนละคีย์ระหว่างรัฐบาล กับผู้ว่าฯธปท. นั้นเคยเกิดขึ้นมาแล้ว เมื่อครั้ง “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” เป็นนายกฯ และมี “ประสาร ไตรรัตน์วรกุล” เป็นผู้ว่าฯแบงก์ชาติ  แต่ผลสุดท้ายอย่าลืมว่า รัฐบาลของยิ่งลักษณ์ เองยังไม่สามารถ เปลี่ยนผู้ว่าฯธปท.ได้ อยู่ดี !