ร้อยเอก ดร.จารุพล เรืองสุวรรณ

อาจารย์ประจำสถาบันการทูตและการต่างประเทศ

มหาวิทยาลัยรังสิต

 

มาจนถึงตอนสุดท้ายของซีรีย์ฝุ่น PM2.5 แล้วนะครับ เข้าหน้าร้อนแล้วพอดิบพอดี ฝุ่นที่เราเห็นกันเป็นหมอกเทาก็น่าจะเบาบางลงไปบ้างเพราะอากาศที่เปิดมากขึ้น แต่เราก็ยังจำเป็นต้องพูดเรื่องนี้กันต่อ เพราะถ้าฝุ่นหายแล้วเลิกพูด ปัญหาก็คงไม่ได้รับการแก้ไขกันเสียที

สัปดาห์นี้เรามาว่ากันถึงประเด็นสำคัญอีกประเด็นหนึ่ง “ฝุ่นควันข้ามแดน” นั่นเอง

ปัญหาเรื่องฝุ่นควันข้ามแดนนั้น เป็นอีกหนึ่งปัญหาที่ได้รับการถกเถียงกันมาโดยตลอด จะว่าเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ผู้คนรวมถึงรัฐบาลเองให้ความสำคัญก็ว่าได้ แต่สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งที่จำเป็นต้องพูดกันให้กระจ่าง คือเมื่อเราจะวิเคราะห์ถึงปัญหาฝุ่นควันข้ามแดนนั้น “เราต้องมองให้ไกลกว่านั้น”

ความหมายของคำว่ามองให้ไกลกว่านั้นในที่นี้ หมายถึง เราต้องมองไปให้ไกลกว่าประเทศเพื่อนบ้านของเรา รวมถึงต้องมองให้เป็นโอกาสภายใต้ความเป็นปัญหา

มีท่านผู้รู้ท่านหนึ่งที่ผมคุ้นเคย ท่านเคยทำงานวิจัยชิ้นหนึ่ง โดยทำการศึกษาฝุ่นควันที่เกิดจากไฟป่าในประเทศอินโดนีเซีย ว่าเจ้าฝุ่นควันพวกนี้ มันสามารถลอยไปได้ถึงไหนกันแน่? โดยใช้ดาวเทียมในการติดตามกลุ่มก้อนของฝุ่นควันกลุ่มหนึ่ง ตั้งแต่อยู่ที่ประเทศอินโดนีเซียไปจนถึงปลายทางที่มันเดินทางไปได้

ท่านผู้อ่านเชื่อไหมครับว่า ฝุ่นควันก้อนดังกล่าว ลอยไปได้ไกลถึงประเทศเกาหลีใต้ครับ

เพราะฉะนั้นแล้ว นี่คือสาเหตุที่ผมบอกว่า “เราต้องมองให้ไกลกว่าประเทศเพื่อนบ้าน” ของเรา เพราะที่ผ่านมา เมื่อพูดถึงหมอกควันข้ามแดน เราก็มักโฟกัสไปที่ประเทศเพื่อนบ้านของเรา ว่าวันนี้มีใครเผา วันนี้หมอกควันของเราจะมาจากทางไหน ซึ่งถามว่าควรทำไหม ควรครับ แต่ไม่ควรทำแค่นั้น

ปัญหาหมอกควันข้ามแดนนั้น นอกจากจะเป็นปัญหาที่ต้องถูกจัดไว้เป็นกลุ่มของปัญหาระดับภูมิภาคแล้ว มันยังคงสมควรถูกจัดให้เป็นปัญหาระดับโลกด้วยเช่นกัน ดังที่เราได้เห็นโดยธรรมชาติของหมอกควัน ที่เมื่อเกิดขึ้นแล้วสามารถเดินทางได้เป็นระยะไกล ข้ามน้ำข้ามทะเล หรือแม้แต่บางครั้งก็ข้ามทวีปได้

การสโคปปัญหาไว้เพียงระดับประเทศหรือระดับภูมิภาคอาจไม่เพียงพอต่อการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น

แน่นอนครับ ว่าปัญหานี้ ไม่ได้แก้ไขได้ง่ายๆ เพราะทุกประเทศย่อมหวงแหนอธิปไตยของตน และไม่ต้องการให้ใครเข้ามาวุ่นวายหรือแทรกแซงในกิจการภายในของตนเอง เหมือนตัวอย่างประเทศในอาเซียนด้วยกัน ที่เมื่อเกิดหมอกควันจำนวนมากมาจากประเทศของตน แม้ว่าประชาคมอาเซียนจะพยายามขอเข้าไปตรวจสอบหรือแม้แต่ให้ความช่วยเหลือ ก็มักถูกปฏิเสธกลับมา ว่านี่เป็นปัญหาภายในห้ามมายุ่งเกี่ยว บรรดาเพื่อนๆอาเซียนทั้งหลายก็ได้แต่ถอย เพราะไม่งั้นก็จะผิดใจกัน ซึ่งเหตุผลลึกๆแล้วก็เพราะควันเหล่านั้นเกิดขึ้นมาจากการเผาทางการเกษตรซึ่งเป็นฐานเสียงของผู้นำประเทศนั้นนั่นเอง จะเห็นได้ว่า การเมืองภายในประเทศ ก็มีส่วนส่งผลให้เกิดการปล่อยปละละเลยจนนำไปสู่ปัญหาสิ่งแวดล้อมระดับภูมิภาคได้เช่นกัน

เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็คงจะหนีไม่พ้นการต้องใช้กลไกระหว่างประเทศที่มีพลังอำนาจพอสมควร ในการโน้มน้าวพฤติกรรมของผู้มีอำนาจรวมถึงตัวบทกฎหมายภายในประเทศต่างๆ โดยอาจจำเป็นต้องมีข้อตกลงร่วมกันในระดับโลกให้เป็นบรรทัดฐานอันหนึ่งอันเดียวกันสำหรับประเทศต่างๆทั่วโลก จากนั้นจึงนำเอาบรรทัดฐานดังกล่าวมาพัฒนาต่อให้เป็นบรรทัดฐานในระดับภูมิภาค โดยอย่างน้อยต้องมีกลไกที่จะตรวจสอบได้ในระดับหนึ่ง หรืออาจใช้กลไกทางเศรษฐศาสตร์เข้ามาเป็นเครื่องมือ เช่นการสร้างแรงจูงใจ หรือ สิทธิประโยชน์ต่างๆในทางเวทีการเมืองระหว่างประเทศ เพื่อให้เป็นกรอบให้ประเทศต่างๆได้ร่วมมือร่วมใจกันแก้ไขปัญหาอย่างสมัครใจและจริงจัง

อย่างที่ได้เรียนไปเบื้องต้นครับ ว่าเรื่องนี้ไม่ง่ายที่จะมีประเทศไหนสักประเทศที่ลุกขึ้นมาเป็นผู้นำในเรื่องนี้อย่างจริงจัง เพราะมันเหมือนไปเปิดศึกกับชาวบ้านเขากลายๆ จึงเป็นที่มาว่าทำไมในเวทีระหว่างประเทศจึงไม่มีความร่วมมือใดๆที่ดูแล้วมีพลังมากพอที่จะแก้ปัญหา ไม่ต้องพูดถึงอาเซียนที่นับวันจะเป็น “เสือกระดาษ” อย่างที่นักวิชาการเขาว่าจริงๆ

แต่ในทุกปัญหาก็มีโอกาสเช่นเดียวกัน ในจังหวะที่ไม่มีใครลุกขึ้นมาเป็นผู้นำ ก็อาจเป็นโอกาสของเราที่จะลุกมาเป็นผู้นำได้เช่นกัน ถ้าสามารถพูดคุย หาพรรคหาพวกในเวทีระหว่างประเทศได้มากพอ แล้วจึงประกาศสร้างเป็นความร่วมมือ ให้คนเขาเห็นว่าไทยเราเป็นผู้นำที่ไปรวบรวมไพร่พลมาร่วมกันแก้ปัญหานี้ ก็อาจเป็นโอกาสที่จะสร้างภาพลักษณ์และบทบาทความเป็นผู้นำในเวทีระหว่างประเทศได้เช่นกัน

สุดท้ายก็ต้องบอกว่า แม้ว่าเราจะพยายามหาแนวทาง แนะนำ หรือวิพากษ์การทำงานของรัฐมากแค่ไหน แต่หัวใจสำคัญของการแก้ไขปัญหานี้ คือพวกเราทุกคนครับ หากพวกเราทุกคนเห็นความสำคัญของปัญหา เห็นว่าเป็นปัญหาของเราทุกคนที่ต้องช่วยกันแก้ เราไม่จำเป็นต้องรอให้รัฐบาลมานำเรา เราสามารถลุกขึ้นมาช่วยกันคนละไม้คนละมือและทำให้ปัญหานี้ดีขึ้นได้ เริ่มจากตัวเรา ครอบครัวเรา วิถีชีวิตของเราครับ

สุดท้ายของสุดท้าย ก็ต้องบอกว่า ฝุ่นเหล่านี้ยังไม่ได้หายไปไหน แม้เราไม่เห็นหมอกสีเทา แต่มันอยู่กับอากาศที่เราหายใจครับ เพราะฉะนั้น ป้องกันตัวเอง ใส่หน้ากากอนามัย เพื่อสุขภาพของเรา กันไว้ก่อนดีกว่าแก้ไขทีหลังครับ ขอให้ทุกท่านสุขภาพแข็งแรงครับ

เอวัง