สถาพร ศรีสัจจัง

พบกลอนที่มีคนเขียนลงในหนังสือออนไลน์บทหนึ่ง ได้อ่านแล้วอยากนำมาเล่าสู่กันฟัง เพื่อช่วยกันนำมาขยายประเด็นต่อ เพราะรู้สึกว่าเป็นเรื่องช่วยกระตุกเตือนสติเหล่า “เซเปียนส์” หรือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่เรียกกันว่าพวกสกุล “Homo” (โฮโม)สปีชีส์แยกย่อยว่า “เซเปียนส์”  ทั้งหลาย ที่พัฒนามาถึงปัจจุบัน รู้จักและขานเรียกกันในชื่อที่ “วินทร์ เลียววารินทร์” นักเขียนดับเบิลซีไรต์ และศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ให้ฉายาว่า “สิ่งที่เรียกว่าคน” นั่นแหละ!

“คน” ที่ฟังว่าในชั้นหลังมีบางกลุ่มบางพวกในสปีชีส์นี้ สามารถพัฒนายกระดับการสร้างสรรค์ทางสมองของตนและกลุ่มตนจนแยกแตกต่างจากสปีชีส์อื่นๆ ในแง่ที่สามารถสร้างสรรค์และสั่งสมสิ่งที่เรียกว่า “ศิลปวัฒนธรรม” ขึ้นมาได้อย่างจำเพาะ ข้ามภพชาติจนมีลักษณะคุณภาพ “ชีวิตสังคม” ที่แตกต่างจาก “สัญชาตญาณสัตว์” หรือสิ่งมีชีวิตสปีชีส์อื่นมาได้ไม่น้อย

นั่นคือมีความสามารถในการเรียนรู้ถึง “ความจริงแท้ของสภาวธรรม” หรือ “กฎแห่งการดำรงอยูเชิงกลไกของสิ่งธรรมชาติ” (Mechanical of Nature) ได้ไม่น้อย จนสามารถใช้ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องความจริงเชิงกลไก(บางด้านและบางเรื่องไม่ใช่โดย “องค์รวม”) นั้นสร้างสรรค์สิ่งที่เรียกว่า “ความดีแท้” และ “ความงามแท้” ซึ่งเป็นอีกมิติหนึ่งของ “สภาวธรรม” แบบสิ่งมีชีวิตทั่วๆไปขึ้นมาได้!

ในขณะเดียวกัน อีกด้านหนึ่ง “เซเปียนส์” บางคนบางกลุ่มบาง “ประชาคม” (Social Group) ก็กลับขยายการค้นพบกฎเชิงกลไกของสิ่งธรรมชาติดังกล่าว ให้มุ่งสนองตอบความต้องการอย่างไม่มีที่สิ้นสุดของตัวและกลุ่มตัว จนสามารถสร้างพลังอำนาจเป็น “กลุ่มนำ” ที่สามารถ “โปรแกรม” ความคิดความเชื่อเรื่อง “การขยายความต้องการอย่างไม่มีที่สิ้นสุดแห่งกิเลส” ให้กว้างขวางออกไปอย่างไม่รู้จุดจบแห่งความพอเพียง!

แนวคิดของ “เซเปียนส์” หรือสปีชีส์ “คน” กลุ่มดังกล่าวนี่เอง ที่ชักนำสู่วาระ “เซเปียนส์ทลายโลก” ที่

บรรดา “มนุษย์” หรือ “ผู้มีใจสูง” ซึ่งต้องต้องร่วม “ชะตากรรมแห่งเผ่าพันธุ์” ส่วนหนึ่ง เริ่มรับรู้ได้ เริ่มสำเหนียก และ พยายามลุกขึ้นสู้เพื่อต่อต้านแนวคิดหรือทรรศนะ “ทำลายโลก” ดังกล่าว

เห็นได้อย่างน้อยก็จากปรากฏการณ์ทั่วโลก ปัจจุบัน และจากบทกลอนของ “มนุษย์” ที่พัฒนามาจาก “สปีชีส์เซเปียนส์” คนหนึ่ง ดังที่กล่าวถึงมาแต่ต้น ลองมาอ่านกลอนดังกล่าวกันดู เพื่อจะได้ร่วมกันพิจารณาว่า ได้เห็นอะไรบ้างจากบทกลอนดังกล่าว กลอนทั้งบทมีเนื้อหาดังนี้ :

“เซเปียนส์” ! (หรือ “เรื่องเล่าของเผ่า “ค น”)

 หนึ่ง.

 ๐ หรือสัญชาตญาณแท้ ที่ดิบเถื่อน/ไม่เคยลบเลือนสลายหาย?

จึงสัญชาตญาณการทำลาย/ยิ่งนานยิ่ง ลามขยาย-ยิ่งยืดยาว!

จึงบันทึกเรื่องเล่าเผ่า “เซเปียนส์” /ยิ่งมา ยิ่งสะอิดเอียน ยิ่งชั่วฉาว

ยิ่งแดงเดือดเลือดกระเด็น ยิ่งเหม็นคาว/ด้วยเรื่องราวการห้ำ-การทำลาย

ยิ่ง “เรียนรู้” ยิ่ง “หลง” จนไกลลิบ/หลงตัวแบบ “ทิพย์ทิพย์” จนฉิบหาย

หลง “กำไร” จนกล้าค้าความตาย/ลืมละอายลืมบาป สาปทางบุญ

ปลุกความร้อนแรงเริง เพลิงกิเลส/ยอมใจให้ผีเปรต เข้าถือหุ้น

ใจ “มนุษย์” จึงสลายกลายเป็นจุณ/จึงสูญสิ้นองค์คุณแห่งค่าคน

กลายเป็นสัตว์พันธุ์แปลก-แดกไม่อิ่ม/ทำลายโลกปานปิ้มจะปี้ป่น

อำมหิต สับปรับ สัปดน/หลงกลหลงฤทธิ์อวิชชา

“เซเปียนส์” ส่วนใหญ่ไร้อำนาจ/จึงล้วนพร้อมถูกพิฆาต-ถูกเช่นฆ่า

โดยกฎ “สามานย์” สืบสานมา/คือ “กฎสัตว์ป่า” ของดาร์วิน !***

ที่ว่า “ตัวแข็งแรงจะอยู่รอด/อ่อนแอต้องจอด ต้องสูญสิ้น”

ทุกคำสอน “ศาสดา” ในแดนดิน/เหมือนล้วนไม่เคยยิน ไม่เยี่ยมยาม…ฯ

สอง.

พวก “เซเปียนส์” พันธุ์แปลก แดกไม่อิ่ม/บัดนี้ ยังสแยะยิ้มอยู่ในท่าม

ศพ “ความจริง ความดี และความงาม”/หรือจะยังเดินตามกันไปตาย?!!ฯ

 

จากบทกลอนเรื่อง “เซเปียนส์ : เรื่องเล่าของเผ่าคน” ที่ยกมาดังกล่าว มีวรรคที่น่าสนใจอยู่หลายวรรค เช่น วรรคที่ว่า “คือกฎสัตว์ป่าของดาร์วิน” อันเป็นกฎที่นักธรมชาติวิทยาชาวอังกฤษชื่อ นายชาร์ล ดาร์วิน เป็นผู้เสนอตั้งไว้แต่เมื่อกว่า 100 ปีก่อนโน้น โดยมีเนื้อหาสรุปได้อย่างสั้นๆที่สุดว่า “สัตว์ตัวที่แข็งกว่าจะเป็นตัวอยู่รอด”!

ซึ่งการค้นพบเรื่อง “ความจริง ความดี และความงาม” ของชาวเซเปียนส์ในภายหลังยืนยันว่า “สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคน”สามารถพัฒนาหลุดพ้นจากกฎแห่งการ “เบียดเบียน” หรือ “ห้ำกัน” ดังกล่าวนี้ได้! โดยมีข้ออธิบายอยู่ในวรรคที่ว่า “ทุกคำสอนศาสดาในแดนดิน/เหมือนล้วนไม่เคยยิน ไม่เยี่ยมยาม”

“คำสอนศาสดาในแดนดิน” ในที่นี้อย่างน้อยก็น่าจะเห็นได้จากคำสอนของบรรดาศาสนาสำคัญๆหลายศาสนา(ซึ่งเป็นคำสอนเรื่อง “ความดี” และ “ความงาม” ของ “สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคน” ) เช่น ศาสนาคริสต์ ศาสนาพุทธ ศาสนาอิสลาม และศาสนาฮินดู เป็นต้น

แต่วรรคที่น่าจะสำคัญที่สุดก็คือวรรคที่ว่า “กลายเป็นสัตว์พันธุ์แปลก แดกไม่อิ่ม”!

เพราะนี่เองคือต้นเหตุสำคัญของ “ความไม่รู้จักพอ” และ เป็นเหตุสำคัญที่สุดของการ “ทำลาย” ทุกสิ่งทุกอย่างในโลก(เพื่อให้มาสนองตอบกิเลสหรือ “ความอยาก” อันไม่รู้สิ้นสุดของตน) สรุปให้สั้นที่สุดก็คือ “กิน” (ทำลาย) สิ่งแวดล้อมทุกอย่างลง ทั้งดิน น้ำ อากาศ ป่าไม้ แร่ธาตุ ฯลฯ และจบด้วยการ “กินคน” ด้วยกัน (ในรูปแบบต่างๆ เช่น การกดขี่ข่มเหง การฆ่าฟัน การสงคราม ฯลฯ) อย่างที่กำลังประจักษ์ขัดมากขึ้นเรื่อยๆอยู่ในปัจจุบัน!

ปัญหาสิ่งแวดล้อมเป็นพิษ ทั้ง อากาศ น้ำ ดิน และอื่นๆ (ดูตัวอย่างเมืองที่แสนจะงดงามอย่างเมืองเชียงใหม่ของเราในวันนี้) ปัญหาสงคราม ปัญหาการแข่งขันกันผลิตอาวุธทำลายโลกอย่างเช่น นิวเคลียร์ และอื่นๆ ซึ่งทั้งหมดนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นผลงานของ “เซเปียนส์พันธุ์แปลก-แดกไม่อิ่ม” ทั้งสิ้น

ร่องรอยของหายนะที่กำลังจะ “ทลายโลก” โดยฝีมือของ “เซเเปียนส์” กลุ่ม “แดกไม่อิ่ม” เหล่านี้ สามารถมองเห็นได้ง่ายๆจากภาพของความเหลื่อมล้ำทั้งหลาย(ทุกด้าน) ทั้งในระดับโลก ระดับประเทศ ระดับจังหวัด จนถึงระดับหมู่บ้าน เห็นได้จากบรรยากาศแห่งความร้อนที่เกิดขึ้นอย่างครอบคลุมบรรยากาศโลกในปัจจุบัน เห็นได้จากน้ำที่กำลังจะท่วมโลกจากการละลายของหิมะ เห็นได้จากกาฆ่าคนเหมือนกับการหั่นผักปลาทิ้งในสงครามรูปแบบต่างๆ ทั้งในเอเชีย ยุโรป อาหรับ และที่อื่นๆ เห็นได้จากการแสยะยิ้มแยกเขี้ยวอาบเลือดอย่างอหังการและเต็มไปด้วย “มิจฉาทิฐิ” ของบรรดา “เซเปียนส์กลายพันธุ์” ผู้กุมอำนาจอยู่ในกลุ่มชาติ “จักรพรรดินิยมยุคใหม่” ทั้งหลายอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

“วัฒนธรรม” ทางจริยธรรม ที่เซเปียนส์รุ่นก่อนพัฒนาขึ้นจนสามารถลดการ “เยียดเบียน” สิ่งทั้งหลายในโลกลงได้ระดับหนึ่งแล้ว อย่าง “พระธรรมคำสอน” ทั้งของ “พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น” ทั้งของ “พระเยซูคริสต์” และ ทั้งของ “พระเจ้า”โดยท่านนบีมะหะหมัด ล้วนพ่ายแพ้ลงอย่างแทบจะสิ้นเชิงแล้วต่อ “ลัทธิแดกล้างโลก” ของบรรดา “ผู้กุมอำนาจนำ” แห่งลัทธิจักรพรรดินิยมและสัทธิทุนนิยมสมัยใหม่!

ที่สำคัญตอนนี้พวกมันน่าจะกำลังวางแผน “ปล้นโลก-ปล้นมนุษยชาติ” แล้วคงหวังจะอพยพไปอยู่ใน “นรก” ของดาวดวงอื่นหรือเปล่า? หรือเราจะยินยอมเดินตามพวกมันไปลงนรกดังกล่าวโดยไม่มีปากเสียง หรือจะต้องช่วยกันคิด และ ตอบคำถามนี้ให้จริงจังกันขึ้นอย่างเร่งด่วน? หรือจะยอมไปลงนรกร่วมกับพวกมันแต่โดยดี โดยสมัครใจ คือ โดยโง่ๆเชื่องๆอย่างที่เห็นและเป็นอยู่?!