ชัยวัฒน์ สุรวิชัย 1. . เกิด แก่ เจ็บ ตาย คือ ธรรมชาติ เป็นสัจจธรรมของชีวิต ที่ทุกคนทุกชีวิต ต้องเป็นไปตามกฎนี้ คือ ชีวิตมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ไม่หยุด และจบลงด้วยความตาย มนุษย์ที่ช่วงของชีวิต เกิด ทารก วัยเด็ก วัยหนุ่ม วัยเติบโต วัยแก่ชรา และ หมดชีวิตด้วยการจากไปมนุษย์บางคนที่โชคดี ก็เดินไปตามกฎเกณฑ์ตามปกติ แต่บางคน ก็ลัดขั้น ก้าวไปถึงจุดจบก่อนธรรมของเซ็น “ ปู่ตาย พ่อตาย ลูกตาย หลานตาย “ บอกถึง ความที่ควรจะเป็นไปหากมิใช่ ก็จะเกิดความเศร้าโศกเสียใจมากกว่าปกติ เช่น ลูกตายก่อนพ่อแม่ 2. คนเราเกิดมานี้ เมื่อเกิดมาแล้วก็มีการสิ้นสุด ชีวิตนี้มีช่วงเวลาจำกัดไม่ยืนยาว มีการเกิดและมีการตายอยู่หัวท้าย จึงควรคิดว่าในระหว่างนั้นจะใช้ชีวิตกันอย่างไร เกิดมาแล้ว ควรใช้ชีวิตอย่างไร ? ความจริงชีวิตก็เริ่มด้วยการเกิด การเกิดเป็นการเริ่มต้นของชีวิต ผู้ที่เห็นความสำคัญของชีวิตก็ย่อมเห็นว่าฃการเกิดเป็นเรื่องสำคัญ เพราะถ้าไม่มีการเกิด ชีวิตก็เริ่มต้นและเจริญต่อมาไม่ได้ วันเกิดนั้นในแง่หนึ่งจึงถือว่าเป็นวันของชีวิตและเป็นวันที่เตือนใจเราว่า การเกิด คือ การที่เราได้ชีวิตมา เมื่อเราได้ชีวิตมาแล้วเราจะใช้ชีวิตกันอย่างไรดี 3. .เรามองว่ามนุษย์มีศักยภาพในการที่จะทำความดีหรือความชั่ว ชีวิตของคนเรานี้เป็นเรื่องของการพัฒนาตนเอง การใช้ชีวิตหรือการดำเนินชีวิตก็คือการฝึกฝนพัฒนาตนเอง หรือพัฒนาชีวิตนี้ให้มีความดีงามถึงความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น คนเรานี้เมื่อเกิดมาเริ่มต้นก็มีอวิชชา มีความไม่รู้และยังไม่มีความสามารถอะไรต่างๆ แต่เราสามารถพัฒนาชีวิตของเราได้ ฝึกฝนตนเองได้ พระพุทธศาสนาถือว่า มนุษย์เป็นสัตว์ที่ฝึกได้และเป็นสัตว์ที่ฝึกได้เป็นพิเศษยิ่งกว่าสัตว์ชนิดใดๆ มนุษย์ ต่างจากสัตว์ ซึ่งถ้าฝึกแล้วจะทำอะไรได้มากมายแสนวิเศษอัศจรรย์ความวิเศษของมนุษย์อยู่ที่การฝึก คือ ถือว่ามนุษย์เกิดมายังไม่สมบูรณ์ ความสามารถก็ยังไม่สมบูรณ์ สติปัญญาก็ยังไม่สมบูรณ์ คุณธรรมก็ยังไม่สมบูรณ์ เราจึงพยายามพัฒนาให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น มนุษย์นี้ถ้าไม่ฝึกแล้ว อาจจะต่ำทรามหรือด้อยกว่าสัตว์ทั้งหลายที่อาศัยสัญชาตญาณได้มากกว่ามนุษย์ จะเห็นได้จากการที่สัตว์หลายอย่างพอเกิดมาก็เดินได้ ว่ายน้ำได้ หากินได้แต่มนุษย์นี้ในขณะที่เกิดมานั้นทำอะไรไม่ได้เลย ทิ้งไว้ก็ตาย สู้สัตว์อื่นไม่ได้ แม้แต่การดำเนินชีวิตก็ต้องสอนทุกอย่างไม่เหมือนสัตว์อื่นๆ ที่มีสัญชาตญาณช่วย ถ้ามนุษย์ไม่มีการฝึกก็แพ้สัตว์ทั้งหลาย แต่ถ้าฝึกดีแล้วก็ไม่มีสัตว์ชนิดใดสู้ได้เลย 4. ชีวิตที่มีคุณค่าและความหมาย 1. ชีวิตที่มีคุณค่า เป็นชีวิตที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่อย่างมีคุณภาพ ( เกิดใหม่ )ต้นข้าว จะงอกขึ้นมาได้จากเมล็ดพันธุ์ที่ออกราก หยั่งลงไปในดิน จึงเกิดเป็นต้นข้าว 2. ชีวิตที่มีคุณค่า เป็นชีวิตที่มีการเติบโตชีวิตของเราเกิดในกายของเรา กายนั้นเติบโตแล้วก็ตาย เมื่อถึงจุดสุดยอด ชีวิตของเราก็จะเริ่มเสื่อมลง อ่อนแอลง และกลับสู่ดินในที่สุด แต่ชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณ เมื่อเติบโตแล้ว จะมีชีวิตตลอดเวลา เหตุฉะนั้นเราจึงไม่ย่อท้อ 3. ชีวิตที่มีคุณค่า เป็นชีวิตที่เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นเมล็ดพืชลงดินแพร่พันธ์เติบโตเป็นต้นไม้ใหญ่ ให้ดอกให้ผล นกสัตว์ คนมากิน แล้วก็กลับมาสู่พืชอีก 5. การทำประโยชน์แก่โลกนั้นใครๆก็ทำได้ ไม่ยาก ด้วยการทำหน้าที่ของตนให้ถูกต้องด้วยความขยันซื่อสัตย์ไม่และทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน ซึ่งเพียงเท่านี้นับว่าเป็นความดีขั้นพื้นฐานของคนเรา เพราะทำให้เราและผู้อื่นมีความสุข โลกจะมีแต่ความสุข ส่วนคนที่ไม่ทำหน้าที่ของตนเองให้ถูกต้องแล้วยังจะทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนอีกด้วย ก็จัดว่าเป็นเสนียดของสังคมจึงจัดว่าเป็นความชั่วขั้นพื้นฐานของคนเรา 6. คติทางพระพุทธศาสนาการใช้ชีวิตทำความดีให้มากเป็นคติที่ชาวพุทธทั่วไปถือเป็นหลัก การพัฒนาศักยภาพให้เต็มที่เป็นคติธรรมแนวพระโพธิสัตว์ ทำชีวิตให้เต็มเปี่ยมสมบูรณ์ในแต่ละขณะทุกขณะไปเลย ก็เป็นคติ ของพระพุทธเจ้า ( พระอรหันต์) 7. หลักการพื้นฐานของการมีวิธีคิดและการใช้ชีวิตที่ดี ให้มีคุณค่า แล้วหรือยังความสุขและความทุกข์ อะไรจะเกิดหรือไม่เกิด ไม่มีใครกำหนดได้นอกจากคุณเอง 1. ความสุขเกิดจาก รู้จักการมองคนอื่นในแง่ดี มองโลกในแง่ที่สวยงาม เป็นการฝึกตนแบบง่ายๆ หลัก คือการที่เรามองคนอื่นด้วยสายตาแห่งความสุข ปราศจากการโกรธ เกลียด หรือวาดระแวงรวมถึงการฝึกให้ตนเองนั้นมองโลกอย่างง่ายๆ ไม่มองโลกในแง่ที่ร้ายเกินไป 2. ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด มีความสุข อย่าไปกังวลถึงอดีตหรืออนาคตที่ยังมาไม่ถึง เพราะเราไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ ทำทุกอย่างให้ดีที่สุด แล้วอนาคตที่ดีก็จะมาหาเราเองครับ 3. มีความหวัง ซึ่งเป็นสิ่งที่หล่อเลี้ยงจิตใจของมนุษย์ ทำให้เกิดความมุมานะ ความเพียรพยายาม คนเราจึงจำเป็นต้องมีความหวังอยู่เสมอ แม้ว่าจะมีชีวิตอยู่กับความยากลำบากเพียงใด จงคิดและทำทุกอย่างในวันนี้อย่างเต็มที่ และมีความหวังอยู่เสมอ ทำให้ชีวิตนั้นมีความสุขได้ 4. มองตนเองว่ามีค่า เพราะความจริงแล้วเรานั้นมีค่ากับคนที่รักเราเสมอ ไม่ว่าจะเป็น พ่อแม่ ญาติพี่น้อง หรือเพื่อนสนิท ดังนั้นเมื่อเกิดความรู้สึกไม่ดี เสียใจ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม อย่าไปยึดติดกับมัน ปล่อยให้ผ่านไป และคิดอยู่เสมอว่าชีวิตเรามีค่ามากกว่าที่จะต้องไปจมปลักอยู่กับมัน 5. รู้จักการให้ การให้ ไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งของ หรือของมีค่า แต่หมายถึงของที่ประมาณค่าไม่ได้เช่นน้ำใจ การเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่นั้นเป็นวิธีการเสริมสร้างความสุขทางใจอย่างหนึ่ง และให้เราคิดเสมอว่า การให้นั้นมักจะนำสิ่งดีๆ มาสู่ทั้งผู้ให้และผู้รับ 8.. แล้วเราควรจะมีทัศนคติอย่างไรต่อชุมชนและคนรอบข้างเราล่ะเราอยู่คนเดียวไม่ได้ แม้ว่าจะเก่ง จะรวยเพียงใดก็ตาม เราต้องอาศัยคนที่เข้าใจและรู้ใจ 1. คิดถึงครอบครัวและเพื่อนมิตรฯ ในเรื่องที่ดี มองในเชิงบวก และหมั่นติดต่อไปหา อย่างสม่ำเสมอ 2.. จงหาอะไรดี ๆ ให้คนอื่นทุกวันหรือทุกครั้งที่มีโอกาส ถ้าไม่มีก็อยู่เฉยๆ อย่าไปเพิ่มความทุกข์ให้เขาล่ะ 3.. จงให้อภัยทุกคนสำหรับทุกอย่าง เพราะการโกรธเกลียดกัน มีแต่โทษไม่มีข้อดีแม้แต่น้อย 4. จงหาเวลาอยู่กับคนอายุเกิน 70 และต่ำกว่า 6 ขวบ จะทำให้เราสดชื่น เพราะเขาจริงใจ ไม่เสแสร้ง 5.. พยายามพูดคุยกับคนในชุมชน ทำให้อย่างน้อย 3 คนยิ้มได้ทุกวัน 6.. อย่าได้ห่างเหินกับครอบครัวและเพื่อนใกล้ชิดซึ่งจะดูแลเรา งานของคุณไม่ดูแลคุณตอนคุณป่วยหรอก 7. การช่วยเหลือสนับสนุนในสิ่งที่ดีถูกต้อง ทำได้ทั้งใจและวัตถุ สำคัญที่สุดคือ “ ความคิดที่ถุกต้อง ” 9. การใช้ชีวิตให้มีคุณค่า ในแต่ละวัน 1. คนเราจะมีชีวิตยืนยาวหรือสั้น ก็ต้องผ่าน ชีวิตแต่ละวัน วันจันทร์ถึงวันอาทิตย์บางคน เวลาที่ยาวไป ขาดกำลังใจที่จะทำ เพราะ ยังไม่รู้ผลจะเป็นอย่างไร แต่การทำใน หนึ่งปี หนึ่งเดือน หนึ่งสัปดาห์ ที่สั้นลงมา พอเห็นผลได้ ทำให้มีกำลังใจในการขับรถไปแม่ฮ่องสอน ไปสงขลาปัตตานี ไปหนองคาย นครพนม ……… การจะไปถึงได้ อย่างปลอดภัย ก็อยู่ที่การขับรถเฉพาะหน้าให้ดี ไม่ประมาท ไม่ดื่มสุรา ฯลฯ เหนื่อยนัก พักหิว กินน้ำเย็น กาแฟ อาหารว่าง อาหารกลางวัน เข้าห้องน้ำ แวะกลางทางทุกๆกิโลเมตร สิบ ร้อย กิโลเมตร ในที่สุด เราก็จะถึงเป้าหมายปลายทางได้ ด้วยสวัสดิภาพ 2. เริ่มต้นของทุกสิ่งทุกอย่าง อยู่ที่การมีความคิดที่ถูกต้อง แล้วหาวิธีที่ถูกต้องสอดคล้องวันแต่ละวัน มีคุณค่า และ 365 วัน ก็เป็นหนึ่งปี 10,000 วัน = 30 ปี 30,000 วัน = 90 ปี ( ประมาณ )ชีวิตของคนเรา มีคุณค่า เราต้องทำให้ชีวิตมีคุณค่าทุกวัน ชีวิตมีคุณค่าและความหมายไปตลอดชีวิตคุณค่าของการใช้เวลาเพื่อชีวิต ด้วยการคิดดีทำดี เพื่อตนเองและผู้อื่น ครอบครัว ชุมชนและบ้านเมืองเป็นความสุข เป็นความสุขที่เกิดจากการทำดี ไม่ทำไม่ดี(เลว ) ฉะนั้นทุกเวลาของชีวิต ที่เราคิดดีทำดี จึงเป็นความสุขอยู่ในการกระทำ อยู่ในตัวอยู่แล้ว มากพอแล้วทำผิดทำพลาด ก็สามารถแก้ไขได้ และยิ่งจะทำให้เราแกร่งขึ้น เพราะความล้มเหลวเป็นแม่ของความสำเร็จ ทำผิดพลาดโดยเจตนา ก็เช่นกัน หากเราแก้ไขปรับปรุงความคิดให้ถูก ก็จะแก้ความผิดพลาดได้ คนเรา ไม่มีใครดีหมด หรือเลวหมด แต่เราต้องหาให้เจอ เหตุแห่งความดีและความเลว แล้วแก้ไขหากดี ก็ทำให้ดียิ่งขึ้น เพราะปัญหาบ้านเมืองมันมาก ต้องการ”การดียิ่งขึ้น “ เข้ามาแก้ไข 3. ทุกวันนี้ หลังจากสรุปบทเรียนและแก้ไขตัวเองมาตลอด ก็ได้แนวในการทำงานในแต่ละวันการทำงานในตอนเช้า มีเวลาที่ทำงานมากหน่อย เราก็จะทำงานได้ดีได้มาก เพราะอากาศเย็นสดชื่นและการนอนแต่หัวค่ำ ไม่ดึกนัก เป็นช่วงที่เหมาะสำหรับร่างกายจะพักและซ่อมแซมพัฒนาได้ดีกว่าช่วงอื่นๆ ฉะนั้น การนอนประมาณ 2 - 3 ทุ่ม และตื่น ตี 2- 3 ( วันละ 6 ชั่วโมง ) จึงสอดคล้องกับร่างกายการทำงานแต่ละช่วง ไม่ควรเกิน 3-4 ชั่วโมง ฉะนั้นผมจึงพัก งีบหรือเปลี่ยนบรรยากาศเสมอการออกกำลังกาย เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการมีสุขภาพที่ดี ผมได้เดินแกว่งแขน ประมาณ 1 ชั่วโมง ในตอนเช้า การดื่มน้ำอุ่นไม่กินน้ำแข็ง กินอาหารผักผลไม้นมเนยประจำ รวมทั้งการอาบน้ำอุ่น ทำมีสุขภาพที่ดี การใช้ความคิด ประมวลรวบรวมข่าว และการแลกเปลี่ยนกับผู้รู้เป็นประจำ และทำ ทำให้มีการพัฒนาตลอด การเข้าร่วมการเคลื่อนไหวเพื่อบ้านเมือง ขจัดคนเลวและปกป้องส่งเสริมคนดี ได้ทำมาอย่างสม่ำเสมอ การคิดดีทำดีต่อตัวเองคนอื่นและบ้านเมืองอยู่เสมอ ทำให้ชีวิตมีคุณค่า มีความสุข ตายวันนี้ก็ไม่เสียดาย