ทวี สุรฤทธิกุล การเมืองไทยเต็มไปด้วย “กุนซือ” และ “กุนเชียง” “กุนซือ” หมายถึงบรรดาที่ปรึกษาหรือคนที่ช่วยคิดช่วยทำ ส่วนมากจะเป็นคนที่มีความรู้ความสามารถเป็นที่เคารพนับถือของผู้คน ซึ่งถ้าผู้นำหรือผู้บริหารรู้จัก “เลือก” คนในลักษณะนี้มาทำงาน ก็จะทำให้ประสบความสำเร็จในการทำงาน รวมถึงได้รับความเคารพนับถือร่วมด้วย ส่วน “กุนเชียง” (ศัพท์นี้มีเพื่อนร่วมงานในมหาวิทยาลัยที่ผู้เขียนทำงานอยู่เป็นคนบัญญัติศัพท์) หมายถึงบรรดาคนที่ชอบช่วยหรือชอบเข้ามาทำโน่นทำนี้ รวมทั้งให้คำปรึกษาหารือแบบโน้นแบบนี้ โดยบางทีก็อาจจะอาสาเข้ามาเอง (แบบที่เรียกว่า “เผือก”) หรือ “นาย” เป็นคนมอบหมายให้ไปลองจัดการในเรื่องบางเรื่อง โดยที่คนเหล่านี้อาจจะไม่ค่อยมีความรู้ในเรื่องดังกล่าว เพียงแต่มีความ “ใจกล้า” และ “หน้าหนา” พอที่จะทำอะไรก็ได้ ยิ่งไปกว่านั้นคนพวกนี้ยังมีภาพลักษณ์ที่ไม่ดีนัก ส่วนใญ่จะออกไปในทำนอง “อวดเบ่ง” หรือ “ขี้โม้” เสียมากกว่า ดังนั้นถ้าผู้นำหรือผู้บริหารใช้คนแบบนี้มาช่วยทำงาน แม้ว่าบางครั้งอาจจะประสบความสำเร็จ แต่ก็อาจจะมีเสียงครหานินทาและมีภาพลักษณ์เสื่อมเสียไปกับ “กุนเชียง” ที่เอามาทำงานนั้นด้วย ตอนที่ผู้เขียนทำงานอยู่ในบ้านสวนพลู ในหน้าที่เลขานุการของท่านอาจารย์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ในช่วง พ.ศ. 2520 – 2528 อันเป็นช่วงที่ท่านต้องมาแบกภาระบ้านเมืองมากมาย ในฐานะหัวหน้าพรรคกิจสังคมและ “เสาหลักประชาธิปไตย” ตั้งแต่ต้องคอยคัดง้างต่อสู้กับเผด็จการทหารในยุคคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ไม่ให้พาประเทศไทยเข้าป่าลงเหว เพราะรัฐบาลหอยที่ทหารคุ้มครองอยู่ได้ใช้นโยบายปรามปรามคอมมิวนิสต์อย่างเข้มงวด จนผู้คนกระเจิดกระเจิงหนีเข้าป่าไปหมด ต่อเนื่องด้วยการคัดง้างกับการสืบทอดอำนาจของทหารที่ผ่านทางการเขียนรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2521 และวางตัวพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ จองตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไว้ (ช่างเหมือนกันกับรัฐธรรมนูญ 2560 ที่วางตัวพลเอกประยุทธ์ไว้อย่างไรอย่างนั้น) กระทั่งได้พลเอกเปรม ติณสูลานนท์เข้ามาเป็น “นายกฯคนกลาง” และประคับประคองระบอบรัฐสภาจนอยู่รอดมาได้เกือบสิบปี ซึ่งในระหว่างนี้ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ก็มีส่วนช่วยพลเอกเปรมอยู่ไม่น้อย ว่ากันว่าการที่พลเอกเปรม “อยู่ยงคงกระพัน” มาได้เกือบสิบปีนั้น เพราะท่าน “ใช้คนเป็น” โดยเฉพาะคนที่จะมาช่วยเป็นที่ปรึกษาในการบริหารนโยบายต่างๆ ที่โดดเด่นที่สุดก็คือการใช้บรรดา “เทคโนแครต” หรือนักบริหารและนักวิชาการหรือผู้เชี่ยวชาญ “มืออาชีพ” จากหลายๆ วงการเข้ามาเป็นที่ปรึกษาในเรื่องต่างๆ คนพวกนี้จึงสามารถเรียกได้ว่าเป็น “กุนซือ” ได้อย่างแท้จริง ในขณะเดียวกันท่านก็มี “องครักษ์พิทักษ์ป๋า” หรือบรรดาผู้คนที่จะคอยปกป้องระแวดระวังภัยในด้านต่างให้ท่าน เช่นในสภาก็จะมี ส.ส.ฝีปากกล้าช่วยอภิปรายหรือชี้แจงปกป้อง หรือในกองทัพก็จะมีนายทหารที่เป็น “ลูกป๋า” คอยรักษาความปลอดภัยให้อย่างเข้มแข็ง กระนั้นก็ยังมีคนอื่นๆ อีกจำนวนไม่น้อยที่ชอบ “อ้างป๋า” ว่าตนเองใกล้ชิดหรือได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่เป็นพิเศษในเรื่องต่างๆ เช่นเป็นผู้ประสานแก้ปัญหาความขัดแย้งในระหว่าง ส.ส. และพรรคร่วมรัฐบาล อย่างที่สื่อมวลชนเรียกว่า “กาวใจ” รวมถึงคนที่ทำงานในทางลับที่จะเข้าไปใช้อิทธิพลกับบรรดาผู้ที่มีอิทธิพลต่างๆ นัยว่าถ้าใครมาเข้าเป็นพวกด้วยแล้วก็จะได้ “ความคุ้มครอง” ให้เป็นอย่างดี ที่บ้านสวนพลูก็จะมีคนที่ทำหน้าที่เป็น “กาวใจ” ชอบมาพูดคุยกับท่านอาจารย์คึกฤทธิ์อยู่เสมอ บางทีก็เอาข่าวต่างๆ มาเล่า แล้วอ้างว่าเป็น “ข่าววงใน” เพื่อสร้างความสำคัญให้กับกาวใจคนนั้น หรือในช่วงที่ ส.ส.ของพรรคกิจสังคมมีปัญหาความขัดแย้งกับพรรคร่วมรัฐบาล กาวใจบางคนก็จะมาเสนอหน้าช่วยแก้ไขปัญหา รวมถึง “ยื่นผลประโยชน์” แลกเปลี่ยน อย่างกับว่ากาวใจคนนั้นเป็นหัวหน้ารัฐบาล แต่ที่ “ชั่วร้ายที่สุด” ก็คือบรรดากาวใจบางคนจะทำงานเหมือนเป็น “บ่างช่างยุ” คือเอาเรื่องโน้นเรื่องนี้ของคนโน้นคนนี้มา “นินทา” โชคดีที่ท่านอาจารย์คึกฤทิ์ท่านไม่หูเบา ส่วนใหญ่ท่านจะทนฟังและอือๆ ออๆ พอเป็นมรรยาท และลืมต่างๆ เหล่านั้นไปเสีย ไม่ได้เอาไปเล่าต่อใครฟัง เพียงแต่บ่นให้คนใกล้ชิดได้ยินว่า “ไอ้นี่มันช่างยุให้รำตำให้รั่วจริงๆ” คนพวกนี้ถ้าในสมัยนี้ก็น่าจะเรียกได้ว่าเป็น “กุนเชียง” คือดูดีน่าคบ(น่ากิน) แต่แฝงไว้ด้วยพิษร้ายคือเราไม่อาจจะทราบวัตถุประสงค์ที่แน่ชัด ถึงผลประโยชน์ที่คนพวกนี้อยากได้ (ซึ่งเชื่อว่าไม่ใช่สิ่งดีๆ แน่นอน) เหมือนกุนเชียงที่เต็มไปด้วยคอเลสเตอรอลและสารแต่งรสแต่งสีถนอมอาหาร ซึ่งอาจจะก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรงได้ต่อไป ดังนั้นจึงขึ้นอยู่กับท่านผู้นำหรือคนที่ใช้งานคนเหล่านี้จะแยกแยะได้ไหมว่า คนแวดล้อมของท่านนั้น ใครคือ “กุนซือ” หรือใครคือ “กุนเชียง” ผู้เขียนนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาเพราะมีข่าวคราวออกมาว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา มีทีมงานที่ปรึกษาและผู้ช่วยต่างๆ มากมาย ซึ่งส่วนหนึ่งน่าจะเป็นการ “แอบอ้าง” มากกว่า เพราะตอนนี้พลเอกประยุทธ์ก็ยังไม่ได้มีอำนาจในรัฐบาลใหม่อย่างเต็มที่(ยังตั้งรัฐบาลไม่ได้) รวมถึงข่าวคราวที่ว่าพลเอกประยุทธ์จะนำ “เปรมโมเดล” มาใช้ คือพยายามจะไม่เอาตัวเองเข้าแลกหรือเข้าเสี่ยงในปัญหาต่างๆ ทางการเมืองทั้งในและนอกรัฐสภา ท่านจึงจะต้องมี “องครักษ์พิทักษ์ตู่” เข้ามาทำหน้าที่นี้อีกหลายคน หวังว่าลุงตู่ท่านจะไม่ชอบ “กุนเชียง” แล้วกำจัดไปเสียแต่ต้นลม