ตามที่นายสมศักดิ์ ห่มม่วง รักษาการผู้อำนวยการ ขสมก.แถลงข่าวว่า ใบเสร็จรับเงินที่บริษัทเบสทรินกรุ๊ปจำกัดออกให้เป็นเท็จจนนำไปสู่กรณีกรมการขนส่งทางบกเพิกถอนรถเอ็นจีวี. 290 คันออกจากกรรมสิทธิ์ ของ ขสมก.นั้น นายสันติ ปิยะทัต ที่ปรึกษากฎหมายบริษัทฯกล่าวว่า ปัญหาเรื่องใบเสร็จรับเงินค่ารถเมล์ NGV ซึ่งทางรักษาการผู้อำนวยการ ขสมก. ให้สัมภาษณ์กับสื่อในทำนองว่า เป็นการทำใบเสร็จรับเงินอันเป็นเท็จ บ.เบสท์รินฯ ขอเรียนชี้แจงว่า ใบเสร็จดังกล่าวไม่ได้เป็นเอกสารเท็จ แม้ บ.เบสท์รินฯ จะออกใบเสร็จรับเงินค่ารถเมล์จริงแต่ไม่ได้หมายความว่า บ.เบสท์รินฯ ได้รับค่ารถเมล์จาก ขสมก. แล้ว โดยสังเกตได้จากข้อความในใบเสร็จรับเงินซึ่งระบุไว้ด้านล่าง หัวข้อ คำชี้แจง ข้อ 3. จะมีข้อความระบุไว้ชัดเจนว่า “ใบเสร็จรับเงินฉบับนี้จะมีผลสมบูรณ์ต่อเมื่อเช็คของท่านเรียกเก็บเงินจากธนาคารได้ครบถ้วนแล้ว และต้องมีลายเซ็นของผู้จัดการ สมุห์บัญชี และผู้รับเงิน” เมื่อ ขสมก. ยังไม่ได้ชำระเงินใบเสร็จรับเงินดังกล่าวจึงยังไม่ผลสมบูรณ์เป็นหลักฐานการรับเงินค่ารถเมล์ แต่เหตุที่ต้องออกใบเสร็จดังกล่าวเพราะต้องทำตามความประสงค์ของ ขสมก.ที่ทำหนังสือมอบอำนาจให้ บ.เบสท์รินฯ ต้องดำเนินการจดทะเบียนต่อกรมการขนส่งทางบกให้ ขสมก. เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รถเมล์ ซึ่งต้องใช้เอกสารสำคัญประกอบการจดทะเบียน คือ 1.หนังสือมอบอำนาจจาก ขสมก. ที่มอบให้ บ.เบสท์รินฯ ไปดำเนินการจดทะเบียนต่อกรมการขนส่งทางบก 2.ใบเสร็จรับเงินที่พูดถึงข้างต้น ทั้งนี้ เพื่อให้กรมการขนส่งทางบกทราบราคาซื้อขายรถเมล์ เพื่อนำราคาดังกล่าวไปคำนวณเป็นค่าธรรมเนียมในการรับจดทะเบียน สำหรับประเด็นที่รักษาการผู้อำนวยการ ขสมก. ให้สัมภาษณ์ในทำนองดังกล่าวทำให้บ.เบสท์รินฯ เสียชื่อเสียงซึ่งจะพิจารณาดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องอย่างแน่นอน ส่วนประเด็นที่ บ.เบสท์รินฯ ยื่นคำร้องถอนการขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนการพิพากษา เพราะหลังจากศาลปกครองกลางมีคำสั่งเมื่อ 31 มีนาคม 2560 ให้ ขสมก. รับรถเมล์ จนถึงวันที่ถอนคำร้อง ขสมก. กลับอ้างเงื่อนไขต่างๆ นาๆ เพื่อไม่รับรถเมล์ตามคำสั่งศาล ไม่ว่าจะเป็นการบอกเลิกสัญญาก็ดี การใช้สิทธิในการอุทธรณ์คำสั่งก็ดี และทางศาลปกครองกลางได้เรียกคู่กรณีไต่สวนว่า เหตุใดจึงยังไม่รับรถเมล์ตามคำสั่งศาล กระบวนการเหล่านี้ส่งผลให้การพิจารณาคดีในส่วนเนื้อหา สาระคดีเกิดความล่าช้า ทาง บ.เบสท์รินฯ อยากให้ศาลได้พิจารณาเนื้อหา สาระแห่งคดีเพื่อศาลได้มีคำพิพากษาโดยเร็ว จึงยอมสละประโยชน์ตามคำสั่งศาลด้วยการถอนคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวเพื่อให้คดีได้ข้อยุติโดยเร็ว เพราะเมื่อศาลมีคำพิพากษาเร็วขึ้นเท่าไหร่ประชาชนก็จะได้รับประโยชน์จากโครงการนี้เร็วขึ้นตามไปด้วย “สำหรับเรื่องการยึดเงินประกันเมื่อทางธนาคารฯโอนเงินตามคำร้องขอจาก ขสมก.โดยอ้างเหตุ ขสมก.ยกเลิกสัญญาฝ่ายเดียวมาเป็นสาระ ทั้งๆที่วันนี้ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าบริษัทเบสทรินฯเป็นฝ่ายผิดสัญญาหรือ ขสมก.เองเป็นฝ่ายผิดสัญญา คนที่จะตอบว่าฝ่ายใดผิดไม่ใช่บริษัทเบสทรินฯหรือ ขสมก.แต่คนที่ตัดสินต้องเป็นศาลเท่านั้น ไม่เป็นไรเรื่องนี้ต้องมีคนรับผิดชอบแน่นอน” สำหรับประเด็นที่นายสมศักดิ์ ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวอิศรา เรื่องการกำหนดราคากลางสำหรับการประมูลรถเมล์ NGV ครั้งใหม่ว่า “ราคาจริงของรถไม่รู้ว่าราคาเท่าไหร่ เพราะยังไม่รวมภาษีอีก 40% และค่าปรับอีกเท่าไหร่?เพราะฉะนั้น ในเมื่อยังไม่สามารถหาข้อสรุปตรงนี้ได้ จึงมีความจำเป็นต้องรอมติที่ประชุมอนุกรรมการด้านกฎหมายก่อน และหากที่ประชุมตกลงใช้ราคาเดิมของเบสทรินฯ ผมก็จะลาออกจากรักษาการด้วย เพราะคิดไม่เหมือนกันและต้องมีคนรับผิดชอบด้วย ไม่ใช่ผม” ทนายสันติ กล่าวว่า การตอบคำถามดังกล่าวของ รักษาการผู้อำนวยการ ขสมก. เป็นการตอบคำถามไม่ตรงกับประเด็นที่ บ.เบสท์รินฯ และสาธารณะชนสงสัย เพราะประเด็นที่มีการตั้งคำถามเกี่ยวการกำหนดราคากลางในการประมูลครั้งใหม่ คือ เหตุใดราคากลางในการประมูลรถครั้งใหม่สำหรับส่วนที่ 3 (ค่าจ้างซ่อมแซมบำรุงรักษา ปีที่ 6 ถึง ปีที่ 10 ) จึงกำหนดไว้สูงกว่าราคาที่ บ.เบสท์รินฯ ชนะประมูลมาเป็นจำนวนถึงหกร้อยสามสิบเอ็ดล้านบาทเศษ แต่ปรากฏว่า รักษาการผู้อำนวยการ ขสมก. ไม่ได้ตอบคำถามนี้หรือชี้แจงถึงประเด็นดังกล่าวแม้แต่น้อย กลับเบี่ยงประเด็นตอบคำถามในทำนองว่า ราคากลางที่เพิ่มขึ้นมาเป็นเรื่องของราคาซื้อรถเมล์ไปอีกเรื่องเลย สำหรับที่ รักษาการผู้อำนวยการ ขสมก. ให้สัมภาษณ์ในทำนองว่า ราคาที่ บ.เบสท์รินฯ ชนะการประมูลในครั้งที่แล้วไม่ถือว่าเป็นราคาซื้อขายครั้งล่าสุดที่จะต้องยึดถือมาเป็นราคากลางในการประมูลครั้งใหม่นี้ เพราะขณะนี้ราคาจริงของรถไม่รู้ว่าราคาเท่าไหร่ เพราะยังไม่ได้รวมภาษีนำเข้าอีก 40% และค่าปรับของศุลกากรอีก จึงหาข้อสรุปจำนวนราคารถเมล์ ของ บ.เบสท์รินฯ ไม่ได้ บ.เบสท์รินฯ ขอเรียนชี้แจงว่า ตัวเลขที่ บ.เบสท์รินฯ ทำสัญญากับ ขสมก. ในการประมูลครั้งที่ผ่านมา เป็นราคาที่รวมค่าภาษีทุกชนิดเข้าไว้หมดแล้ว ขสมก. ไม่มีภาระผูกพันที่ ขสมก.จะต้องชำระเงินค่าภาษีอื่นใดเพิ่มอีกแม้แต่บาทเดียว ดังนั้นราคาที่ บ.เบสท์รินฯ ชนะการประมูลและทำสัญญากับ ขสมก. จึงเป็นราคากำหนดไว้แน่นอนแล้วไม่จำเป็นต้องคิดคำนวณค่าภาษีศุลกากร ค่าปรับอื่นใดเพิ่มอีก หรือหากต้องชำระค่าภาษีอื่นๆ เพิ่มเติมก็เป็นเรื่องของ บ.เบสท์รินฯ ในฐานะผู้ขายที่จะต้องจัดการหรือรับผิดชอบเอง ไม่เกี่ยวข้องกับ ขสมก. ใครที่พูดไว้ว่าจะลาออก กรุณารักษาคำพูดด้วยก็แล้วกัน ทนายสันติกล่าวสรุปว่า จากประเด็นปัญหาดังกล่าวอนุกรรมการฝ่ายกฏหมายกำลังตรวจสอบ หากมีมติให้ ขสมก. ต้องทบทวน ขสมก. และผู้บริหาร ตลอดจนคณะกรรมการกำหนดราคากลาง รวมทั้งผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการเปิดประมูลรถเมล์ครั้งใหม่ อาจจะเข้าข่ายการละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และปฏิบัติผิดวินัยข้าราชการซึ่งมีโทษตามกำหนด ถ้าหากยังฝืนเดินหน้าเปิดประมูลต่อไปย่อมเป็นการเปิดประมูลของรัฐที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และทำให้รัฐได้รับความเสียหาย เจ้าหน้าที่ของ ขสมก. ที่มีส่วนเกี่ยวข้องอาจต้องรับผิดชดใช้ความเสียหายเป็นการส่วนตัว หากมีหลักฐานที่ชี้ได้ว่าเจ้าหน้าที่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง