“กอด”ยามหัศจรรย์ แล้ววันนี้ “คุณ” “กอด” “ลูก” แล้วหรือยัง Hug Therapy: High-Touch Healing in a High-Tech World
“อุ่นใดๆ โลกนี้มิมีเทียบเทียม อุ่นอกอ้อมแขนอ้อมกอดแม่ตระกอง รักเจ้าจึงปลูก รักลูกแม่ย่อมห่วงใย ไม่อยากจากไปไกล แม้เพียงครึ่งวัน ให้กายเราใกล้กัน ให้ดวงตาใกล้ตา ให้ดวงใจเราสองเชื่อมโยงผูกพัน - เพลงอิ่มอุ่น ของศิลปิน ศุ บุญเลี้ยง บทเพลงที่สะท้อนถึงความผูกพันระหว่างแม่กับลูกได้เป็นอย่างดี
แต่รู้หรือไม่ว่า...มีเด็กบางกลุ่มที่แม้พ่อแม่จะรักแค่ไหน...ก็ยังกอดลูกไม่ได้เพราะพวกเขาต้องนอนในรพ.มีสายน้ำเกลือห้อยระโยงระยาง..พร้อมเครื่องช่วยหายใจ...ชีวิตเล็กๆ ต้องการส่งความอบอุ่นจากอ้อมกอดนี้
นายแพทย์สมเกียรติ ลลิตวงศา ผู้อำนวยการ สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี กรมการแพทย์ กล่าวว่า“กว่า ๖๐ ปี สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี เป็นโรงพยาบาลของรัฐแห่งเดียวในประเทศไทย ที่มีความเชี่ยวชาญในการดูแลรักษาโรคเด็กที่ยุ่งยาก ซับซ้อน เด็กป่วยถูกส่งต่อมาจากทั่วประเทศ พร้อมทั้งวางพันธกิจหลักในการเป็นเสาหลักของประเทศให้การดูแลทารกและเด็กพิการแต่กำเนิด รวมทั้งทารกคลอดก่อนกำหนดครบวงจร เพื่อลดอัตราการตายและพิการของทารกแรกเกิดให้น้อยลง โดยปัจจุบันสถานการณ์เด็กพิการแต่กำเนิดในประเทศไทย ยังพบว่าประเทศไทยมีทารกแรกเกิดประมาณ ๗๐๐,๐๐๐ รายต่อปี เป็นเด็กที่เกิดมาพร้อมกับความพิการประมาณ ๒๔,๐๐๐ – ๔๐,๐๐๐ ราย ซึ่งความพิการแต่กำเนิดหรือความผิดปกติแต่กำเนิด (Birth Defects) ถือเป็นปัญหาสำคัญระดับชาติและเป็นเรื่องที่น่าห่วงมาก เพราะการที่ไทยมีผู้พิการในครอบครัวย่อมส่งผลกระทบทางจิตใจของผู้ที่เป็นพ่อแม่หรือผู้ปกครอง ทั้งก่อให้เกิดภาระในด้านสุขภาพต่อผู้ป่วย รวมถึงส่งผลกระทบต่อครอบครัว สังคม จนถึงระดับประเทศ ที่ต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษา และที่สำคัญความพิการแต่กำเนิดยังเป็นสาเหตุการเสียชีวิตของเด็กทารกมากถึงร้อยละ ๒๐ – ๓๐ ซึ่งถือว่าเป็นสถิติที่สูงมากและมีจำนวนสะสมขึ้นทุกปี ทั้งนี้ สถาบันสถาบันสุขภาพเด็กได้ดำเนินการรักษาและดูแลเด็กมากกว่าปีละ ๔๐๐,๐๐๐ ราย/ปี มีผู้ป่วยเด็กที่ต้องนอนรับการรักษาเฉลี่ย16,500 รายต่อปี พวกเขาต้องเจาะเลือด ต่อสายน้ำเกลือ และการให้ยาเพื่อรักษาและบรรเทาความเจ็บป่วย หรือในบางกรณีต้องทำการผ่าตัดตั้งแต่ยังเล็ก เพราะมีความผิดปกติแต่กำเนิด ทำให้เด็กน้อยไม่สามารถได้รับความรักผ่านอ้อมกอดของพ่อแม่ได้ มีเพียงแค่สายตาที่จับจ้องอย่างเป็นห่วงและปลอบประโลมลูกน้อยอยู่ไกลๆ”
ผู้ช่วยศาสตราจารย์แพทย์หญิงปราณี เมืองน้อย จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติ มหาราชินี (รพ.เด็ก) กรมการแพทย์ กล่าวว่า “อ้อมกอดนับเป็นยามหัศจรรย์ที่ช่วยให้คนเราอบอุ่น ปลอดภัย ส่งต่อความรัก ความผูกพันระหว่างกัน การกอดยังช่วยกระตุ้นพัฒนาการให้แก่ลูกน้อยในแต่ละช่วงวัย นอกจากนี้ยังช่วยบรรเทาความทุกข์ร้อนได้หลากหลาย ทั้งคลายความกังวล บรรเทาความเจ็บป่วย”
Hugs for Health
จากการศึกษาของนักจิตวิทยา Karen Grewen, Ph.D., of the University of North Carolina, ซึ่งได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร Psychosomatic Medicine พบว่าในระหว่างที่ให้คู่รักกอดกัน สามารถกระตุ้นฮอร์โมนแห่งความสุข ออกซีโตซิน (oxytocin) ได้อย่างชัดเจน และลดฤทธิ์ของฮอร์โมนแห่งความเครียดคอร์ติซอล (cortisol) ได้อย่างดี นอกจากนี้ยังพบว่าคนที่ไม่ได้รับการกอดจะมีความดันโลหิตและจังหวะการเต้นของหัวใจสูงกว่าคนที่ได้รับการกอดอย่างชัดเจน ซึ่งภาวะดังกล่าวนับว่าไม่ดีต่อสุขภาพ การกอดช่วยเยียวยา ปลอบโยน ลดความกังวล ความวิตกกังวล ซึมเศร้า และความเหงาโดดเดี่ยว เป็นพลังจากการสัมผัสเนื่องจากทำให้คนเรามีโอกาสได้ฝึกปฏิสัมพันธ์กันภายใต้ความไว้วางใจ ความเชื่อใจ
จากงานวิจัยที่ตีพิมพ์ใน Journal of Psychological Sciences ซึ่งรวบรวมการศึกษาประโยชน์ของการกอดจากหลายสถาบันพบว่าการกอดมีประโยชน์มากมายดังนี้
1. ลดความรู้สึกกลัวตาย (กอดช่วยชีวิต) พบว่า แม้แต่การกอดตุ๊กตาหมีก็ยังช่วยลดความกลัวตายได้ หากได้กอดคนที่ยังมีชีวิตยิ่งทำให้เกิดความมั่นใจมากขึ้น ในปีคศ.1995 ในอเมริกามีคู่แฝดคลอดก่อนกำหนดที่น้ำหนักน้อยแฝดคนหนึ่งสุขภาพดี ส่วนอีกคนมีแนวโน้มจะเสียชีวิต หลังจากทดลองนำมานอนในตู้อบเดียวกัน ให้สัมผัสซึ่งกันและกัน พบว่าแฝดอีกคนสามารถมีชีวิตรอดได้อย่างอัศจรรย์
2. ลดความรู้สึกโดดเดี่ยว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคนสูงอายุหรือคนป่วยที่มีความเปราะบางเรื่องสุขภาพ ทำให้หลั่งฮอร์โมนแห่งความเครียดออกมามากและยิ่งทำลายระบบภูมิคุ้มกันทำให้สุขภาพย่ำแย่มากขึ้น
3. ช่วยให้เด็กเจริญเติบโตและพัฒนาการดีขึ้น มีการศึกษาในยุโรปพบว่าเด็กในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้ามักมีการเจริญเติบโตทางร่างกายและสติปัญญาไม่ดี (Frank DA, Klass PE, Earls F, Eisenberg L) แต่หลังจากทำการกระตุ้นโดยการสัมผัส การกอดวันละ 20 นาที นาน 10 สัปดาห์ เด็กกลุ่มนี้มีการพัฒนาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด (Casler, Lawrence) สำหรับเด็กคลอดก่อนกำหนดหรือเด็กอ่อนในปัจจุบันมีการกระตุ้นให้แม่ลูกได้สัมผัสกันและกันโดยการอุ้มแบบจิงโจ้ (Kangaroo care) พบว่ามีผลดีต่อการเจริญเติบโตและสุขภาพเด็กอย่างมาก
4. กระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนแห่งความสุข ออกซีโตซิน (oxytocin) ช่วยลดความวิตกกังวลและความเครียดได้ เช่นในเวลาที่มารดาคลอดบุตรจะมีออกซีโตซินหลั่งออกมาอย่างมากจนทำให้แม่ลืมความเจ็บปวดทั้งหมดจากการคลอดบุตรได้ และยังเรียกได้ว่าเป็นฮอร์โมนของความผูกพัน การมีกันและกัน ช่วยทำให้นอนหลับฝันดี สำหรับเพศชายฮอร์โมนตัวนี้ยังช่วยทำให้ผู้ชายมีทักษะการสร้างความผูกพันและแสดงความรักใคร่ได้ดีขึ้น ความหวานในชีวิตคู่จะมีอย่างต่อเนื่องหากคนเราได้กอดกัน
5. ลดความเครียด ทำให้ควบคุมอารมณ์และแก้ปัญหาในชีวิตประจำวันได้ดี มีการศึกษาพบว่าเด็กที่ได้รับการกอดตั้งแต่ช่วงแรกของชีวิตจะมีทักษะการจัดการความเครียดได้ดี การกอดช่วยลดความเครียดให้เด็ก ทำให้เด็กอาละวาดน้อยลง
6. กระตุ้นสารสื่อประสาทหลายชนิดที่ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายดี เช่นโดปามีน (Dopamine) ทำให้คนเรารู้สึกดี (Serotonin) ช่วยลดความเจ็บปวดและอารมณ์ดี และ(Oxytocin) ที่ทำให้คนเราเกิดความพึงพอใจ
ประโยชน์ของการกอดเด็กแต่ละช่วงวัย
กอดลูกในครรภ์ ตั้งแต่เด็กอยู่ในครรภ์ก็เปรียบเสมือนได้รับการกอดจากแม่ที่อุ้มท้อง หลังคลอดจนโตมนุษย์เราก็ยังโหยหาการกอดการสัมผัสอยู่เสมอ เชื่อหรือไม่ว่ายิ่งอายุมาก คนเรายิ่งต้องการการกอดในชีวิตประจำวัน
ต้อนรับสู่โลกด้วยกอดแรกเกิด อ้อมกอดอันแสนอบอุ่นที่ช่วยปลอบให้ทารกน้อยคลายความกลัวของอุณหภูมิที่แตกต่างระหว่างครรภ์และโลกภายนอก ทำให้เจ้าตัวเล็กหยุดร้องไห้ รู้สึกอุ่นสบาย มั่นคงปลอดภัย และได้สัมผัสความอบอุ่นของแม่ผ่านอ้อมกอดเป็นครั้งแรก เกิดความรู้สึกไว้วางใจในโลกใหม่ที่เขาออกมาสัมผัส
กอด ๖ เดือนแรก พบว่าเด็กที่ได้รับอ้อมกอดอย่างอบอุ่นทุก ๆ วัน จะเป็นเด็กที่มีความผูกพันทางอารมณ์ที่ดีกับแม่ตั้งแต่แรกเกิด และเมื่อเขาเติบโตขึ้นจะมีการพัฒนาการทางด้านอารมณ์ที่ดีกว่า เป็นเด็กร่าเริง โดยแม่สามารถโอบกอดลูกทุกวัน วันละหลายๆ ครั้ง ผ่านการให้นมลูก หรือการกล่อมนอน เพื่อทำให้ลูกรับรู้ถึงสัมผัสและสร้างสายสัมพันธ์ระหว่างแม่กับลูกได้อย่างแน่นแฟ้นขึ้น และส่งผลให้พัฒนาการด้านอารมณ์ของลูกจะดีขึ้น
กอดระหว่าง ๗ เดือน ถึง ๑ ขวบครึ่ง ส่งเสริมความมั่นใจและมองโลกในแง่ดี ในช่วงนี้พัฒนาการด้านการเรียนรู้โลกกว้างถูกกระตุ้นรอบด้าน ทำให้ลูกน้อยพยายามหยิบจับ คว้า ทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อเรียนรู้ด้วยตัวของเขาเอง พอถึงช่วงนั่ง หรือลุกเดินนั้น ทุกย่างก้าวของการพัฒนาการพ่อแม่ควรอยู่ใกล้ๆ และกอดลูกอย่างสม่ำเสมอ ให้กำลังใจ และชื่นชมในความก้าวหน้าของลูก ซึ่งทำให้ลูกเติบโตขึ้นมาเป็นเด็กที่มีความมั่นใจและมองโลกในแง่ดี และมีภาวะอารมณ์ที่ดีมากขึ้น
กอด ระหว่าง ๑ ขวบครึ่ง – ๓ ขวบ นับเป็นช่วงที่สิ่งแวดล้อมเข้ามามีอิทธิพลต่อตัวลูกมากขึ้น คนเป็นพ่อและแม่ควรหาเวลากอดลูกอย่างสม่ำเสมอ หรือจะหอม เพื่อให้เค้ารู้ว่าเราไม่ได้อยู่ห่างและได้รับความรักความอบอุ่นเสมอ ซึ่งส่งผลให้ลูกเติบโตเป็นเด็กที่มีทัศนะคติที่ดี อารมณ์ดี พร้อมทั้งมีความเชื่อมั่นในตัวเองมากขึ้น
กอด ลูกตั้งแต่ ๓ ขวบเป็นต้นไป โลกใหม่ๆ สิ่งใหม่ๆ เพื่อนใหม่ๆ และสังคมใหม่ๆ จะส่งผลต่อบุคลิกภาพและอารมณ์ของลูก อาทิ บางคนขี้อายและเก็บตัว บางคนร่าเริงและกล้าแสดงออก หรือบางคนดื้อและก้าวร้าว การปรับและควบคุมอารมณ์และพฤติกรรมเหล่านี้ที่ดีที่สุด คือ การกอดและการพูดคุย เพื่อเป็นการสร้างให้ลูกรับรู้ถึงความรักและความใส่ใจที่พ่อและแม่มีต่อลูกในทุก ๆ จังหวะชีวิต ซึ่งเมื่อพ่อแม่ทำอย่างต่อเนื่อง ลูกจะรับรู้และค่อยๆ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมรวมถึงภาวะด้านอารมณ์ได้ดีขึ้น
Physical touch is one of the most important stimulation that can facilitate healthy child development ((The importance of touch in development. By Evan L Ardiel, MSc and Catharine H Rankin, PhD)
การกอดเพื่อเยียวยาที่มีประสิทธิภาพจะต้องไม่ต่ำกว่าครั้งละ 20 วินาที การสัมผัสจะทำให้โครงข่ายกระแสประสาทนับล้านส่งสัญญานไปยังสมองกระตุ้นสารสื่อประสาทหรือฮอร์โมนต่างๆ ให้ทำงานอย่างสมดุล การกอดทำให้เกิดประโยชน์ทั้ง 2 ฝ่าย เราสามารถสังเกตประสิทธิผลได้จากความชุ่มชื้นและความยืดหยุ่นของผิว เรียกได้ว่ากอดลูกบ่อยๆ แล้วเหมือนคุณพ่อคุณแม่ได้ทำเบบี้เฟซหรือทำสปาผิวจนหน้าและผิวตึงกันทั้งคู่เลยค่ะ กอดลูกแล้วทำให้พ่อแม่หน้าเด็กลง
การ “กอด” นับเป็นยาวิเศษที่หาง่ายได้ทุกที่ทุกเวลา ดังนั้น เราควรใส่ใจและหันมากอดลูกตั้งแต่วันนี้ เพราะมีส่วนช่วยในทุกด้านของพัฒนาการทั้งร่างกาย อารมณ์ และจิตใจ ส่งผลให้ลูกเป็นคนดีและเข้าถึงจิตใจและเห็นใจคนอื่นได้ในอนาคต ดังนั้น ในวันนี้เราควรจะเริ่มกอดกันและกัน ไม่ต้องรอเทศกาลใดๆ เพราะเราสามารถทำได้ทุกที่ทุกเวลา