ในหลวงในดงทาก นายมนูญ มุกข์ประดิษฐ์ เคยดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ(เลขาธิการกปร.)แล้วมาดำรงตำแหน่งกรรมการและรองเลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนาตราบจนวันนี้ ได้เป็นผู้หนึ่งที่ทำงานพระมหากรุณาธิคุณรับใช้เบื้องพระยุคลบาทพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตรและพระบรมวงศานุวงศ์มาอย่างต่อเนื่องยาวนาน รองเลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนาได้ถ่ายทอดเผยแพร่ขยายผลพระมหากรุณาธิคุณที่ได้พระราชทานผ่านโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริมากมายทั่วประเทศกว่า4,000 พันโครงการด้วยวิธีและช่องทางต่างๆมากมาย ทางหนึ่งคือผ่านข้อเขียนบอกเล่าไปสู่ประชาชนทั่วทั้งประเทศ อย่างเช่นคำบอกเล่าที่นายมนูญถ่ายทอดพระราชจริยวัตรพระมหากรุณาธิคุณขณะเสด็จพระราชดำเนินปฏิบัติพระราชกณียกิจเพื่อประโยชน์สุขแก่ราษฎรของพระองค์ผ่านตัวหนังสือที่ขออนุญาตเผยแพร่สู่ประชาชนอีกครั้ง “20 กันยายน 2524 วันนี้เป็นวันฝนตก พรำมาจากเช้าจวบบ่าย ไม่มีท่าจะเลิกรา หนาบ้างบางบ้าง สลับเป็นสายไล่เลียงลีลา เหมือนม่านฟ้า สีขาว เป็นฉากกั้นขุนเขา ที่แลเห็นอยู่ลับลิบ” ต้นฉบับเป็นลายมือนายมูญ มุกข์ประดิษฐ์ที่เกริ่นขึ้นต้นบทความแล้วบรรยายดังต่อไปนี้ “ในป่ายาง หนาวเย็น ที่ลึกซอกซอนและซ่อนตัว ณ บ้านตามุง หมู่ที่ 4 ตำบลเชิงคีรี อำเภอศรีสาคร จังหวัดนราธิวาสแห่งนี้ ทันทีที่รถยนต์พระที่นั่ง “แวคคอนเนียร์” ซึ่งทรงขับด้วยพระองค์เองจอดสนิทบนทางดินเล็กๆ ข้างป่ายาง ซึ่งเป็นทางเดินมิใช่ทางรถ ฝนก็กระหน่ำลงมาประหนึ่งจะขอรับเสด็จด้วย ผืนแผ่นดินที่เปียกแฉะ ฉ่ำชื่นอยู่แล้วก็แปรสภาพเสมือนทะเลโคลนย่อมๆ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีในฉลองพระองค์ชุดเสื้อกันฝน และทรงพระมาลากันฝนทรงนำคณะเจ้าหน้าที่บุกฝ่าเข้าไปในพื้นที่ที่เป็นป่าสลับสวนยางท่ามกลางเม็ดฝนขาวใสที่กระทบยอดไม้และใบหญ้า ดังกรูเกรียว ในสภาพที่หนาวเย็น พื้นดินเป็นโคลนตมและสัญจรเข้าไปได้ยากเย็นยิ่งนักเช่นนี้ เชื่อหรือไม่ว่าได้เสด็จพระราชดำเนินด้วยพระบาทนำหน้าคณะเข้าไปอย่างรวดเร็วจนผู้ติดตามและข้าราชบริพารเดินตามแทบไม่ทัน บางคนต้องวิ่งเหยาะ บางคนลื่นไถลและเมื่อหนทางวิบากนี้ไกลขึ้นๆ บางคนต้องหยุดพักเหนื่อยและหลบฝนอยู่ใต้ร่มไม้ที่แข็งแรงพอ ซึ่งมีอยู่เพียงส่วนน้อย ใครที่แข็งแรงก็ตามต่อไปกระชั้นชิดทั้งที่เหนื่อยล้าและอ่อนเพลีย เสด็จพระราชดำเนินด้วยพระบาทเข้าไปในป่ายางท่ามกลางฝนตกหนัก โดยมีสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีตามรอยเบื้องพระยุคลบาทไม่ห่างเป็นระยะทางถึง 2 กิโลเมตรเศษ ตามสภาพที่เกริ่นกล่าวในเบื้องต้น นี่คือสิ่งที่มิใช่สามัญธรรมดาในความรู้สึกของผู้คน และความไม่สามัญธรรมดานี้ก็ยิ่งไม่ธรรมดามากยิ่งขึ้นเป็นทวีคูณเนื่องเพราะบริเวณนี้คือ “ดงทาก” หรือ “รังทาก” อันมีทากชุกชุมที่สุดแห่งหนึ่งของภาคใต้ และด้วยเหตุอันน่าหวาดหวั่นพรั่นพรึงดังกล่าวการบุกเข้าไปใน “ดงทาก” ท่ามกลางสภาพการณ์เช่นนี้ จึงไม่ต่างกับการเข้าไปทำสงครามในดงทาก เพียงเห็นบรรดาทากห้อยหัวยั้วเยี้ย บนก้านกิ่งและใบไม้ อีกบนพื้นหญ้าแฉะชื้นก็ชูคอสลอนดังใบหญ้าโอนเอนแล้ว ที่หนาวกายเพราะสายฝนก็กลับหนาวเหน็บเข้าไปถึงหัวใจ กว่าจะถึงจุดหมาย คือบริเวณพื้นที่ที่จะพิจารณาสร้างอ่างเก็บน้ำเพื่อให้มีน้ำไว้ใช้ สำหรับพื้นที่ 5,000 ไร่ ใน 3 เขตตำบล คือเชิงคีรี มะยูง และรือเสาะ เกือบทุกคนก็โชกฝนและโชกเลือก แม้ทูลกระหม่อมทั้ง 2 พระองค์ก็มิได้รับการยกเว้น ค่ำวันนั้น ระหว่างเสด็จพระราชดำเนินกลับพระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์ อาการปลายฤดูฝนกำลังสบาย ดวงดาวบนท้องฟ้าเริ่มจะปรายแสง ขบวนรถยนต์พระที่นั่งได้หยุดลงอย่างกะทันหันโดยไม่ทราบสาเหตุบนทางหลวงที่มืดสงัดเป็นเวลาหลายนาที ถามไถ่ได้ความภายหลังว่า ยังมีทากหลงเหลือกัดติดพระวรกายอยู่อีก เมื่อรู้สึกพระองค์จึงได้ทรงหยุดรถยนต์พระที่นั่ง และรับสั่งให้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ช่วยจับทากที่ตัวเป่งด้วยพระโลหิตออกจากพระวรกาย ทรงเรียกการทรงงานวิบากที่เชิงคีรีครั้งนี้ในภายหลังว่า “สงครามกับตัวยึกยือ ที่เชิงคีรี” นายมนูญ มุกข์ประดิษฐ์ รองเลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา