พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย วันศุกร์ที่ 17 พฤศจิกายน 2560 เวลา 20.15 น. สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่านในการทำงานของรัฐบาลนี้ และ คสช. เรามุ่งเน้นการวางรากฐานการพัฒนาประเทศนะครับ แล้วเราจะต้องดำเนินการเชิงรุก เพื่อป้องกันปัญหาต่างๆ นะครับ ให้แก้ไขได้อย่างยั่งยืน ช่วงที่ผ่านมานั้น หลายปัญหานะครับ รัฐบาลก็ได้ดำเนินการแก้ไข ด้วยมาตรการระยะสั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาเฉพาะหน้า แล้วก็ทำควบคู่ไปกับมาตรการระยะกลาง มาตรการระยะยาวนะครับ เพื่อจะแก้ไขที่ต้นตอของปัญหา ไม่ให้เกิดซ้ำแล้วซ้ำอีก เหมือนเช่นในอดีตที่ผ่านมา เรื่องน้ำท่วมนะครับ ปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ วันนี้เราต้องพูดคุยกันนะครับ ด้วยเหตุผลบนข้อเท็จจริง อย่างเปิดเผย เพื่อให้ทุกฝ่ายได้เข้าใจปัญหาที่แท้จริง เหมือนอย่างที่ผม และรัฐบาลเข้าใจ เพื่อให้เกิดความร่วมมือกันนะครับ วันนี้หลายอย่างเปลี่ยนแปลงไปแล้ว โลกเปลี่ยนแปลงไปมากนะครับ เราต้องคิดร่วมกัน ทำร่วมกันให้ได้นะครับ สำหรับปัญหาสำคัญอีกประการหนึ่งคือราคา “ยางพารา” ตกต่ำ เราจำเป็นต้องเข้าใจในภาพรวมนะครับ เพื่อนำไปสู่การแก้ปัญหาไปในแนวทางที่จะร่วมมือกันได้นะครับ เรื่องที่ 1. ก็คือประเด็นราคายางธรรมชาติ และยางสังเคราะห์ มีความเกี่ยวโยงกับมากมายนะครับ กับสถานการณ์หลายอย่าง เช่นราคาน้ำมันในตลาดโลก ซึ่งสะท้อนต้นทุนการผลิตยางสังเคราะห์นะครับ สามารถใช้ทดแทนยางธรรมชาติได้ เช่น ช่วงปี 2540 ถึง 2548 น้ำมันราคาแพง ทำให้ราคายางสังเคราะห์แพงตามไปด้วย ส่งผลให้หลายประเทศ รวมทั้งประเทศไทย หันไปส่งเสริมให้ปลูกยางพาราในประเทศนะครับ เพื่อลดการนำเข้ายางสังเคราะห์ แต่พอราคาน้ำมันลด ราคายางสังเคราะห์ก็ลดตาม แต่ปริมาณยางธรรมชาติยังคงมากนะครับ และเกินความต้องการของตลาด เพราะหันไปใช้ยางสังเคราะห์ ก็เลยทำให้ราคายางพาราตกต่ำนะครับ ซึ่งเกิดขึ้นเป็นระยะๆ นะครับ เรื่องที่ 2. คือประเด็นปริมาณการผลิตยางพารา ก็สืบเนื่องจากข้อแรก ช่วงปี 2554 ถึง 2558 ทิศทางของโลกลดการผลิตลงนะครับ แต่ไทยเราผลิตเพิ่มขึ้น ก็เป็นผลมาจากการส่งเสริมให้ปลูกยางพาราในอดีตนะครับ ซึ่งอาจจะเป็นเรื่องเดิมนะครับ ก็อาจจะทำให้ผลผลิตในช่วงปัจจุบันนั้นมีจำนวนมากพอสมควรนะครับ ทำให้เกิดความไม่สมดุลกัน ที่สำคัญเกษตรกรสวนยางไทยนั้น เราจะปลูกยางเป็น “พืชเชิงเดี่ยว” ซะมากนะครับ ทำให้เมื่อราคายางผันผวน ก็จะมีผลกระทบต่อรายได้ของครัวเรือนอย่างรุนแรง เหมือนเช่นในปัจจุบันที่กำลังเกิดขึ้นอยู่นี่นะครับ ประเทศอื่นนั้นเกษตรกรเขาจะเพาะปลูกเป็น “พืชทางเลือก” เสริมเข้ามาด้วยนะครับ ควบคู่กับการปลูกยาง เช่น มาเลเซียก็มุ่งเน้นไปปลูกพืชเศรษฐกิจอย่างปาล์มน้ำมันนะครับ 20 ถึง 30 ปีมาแล้ว ส่วนอินโดนีเซีย เขาก็ทำเกษตรแบบยังชีพนะครับ ทำประมงควบคู่ไปด้วย หรือทำอาชีพอื่นไปด้วยนะครับเสริมกับการมีผลผลิตจากยาง เป็นรายได้ของเขา เมื่อราคายางลดลง ผู้ปลูกยางในประเทศเหล่านี้ ก็จะชะลอการกรีดยางแล้วหันไปประกอบอาชีพอื่นเพื่อหารายได้เข้ามาแทน คล้ายๆ กับเอาพืชการเกษตร แล้วเอายางนี่ รายได้จากยางเป็นรายได้เสริมนะครับ ของเราเป็นรายได้หลัก เรื่องที่ 3. ประเด็นการใช้ยางพาราในประเทศน้อยลงนะครับ เมื่อเทียบกับผลผลิต ประเทศไทยเราผลิตยางพารา ถึง 4.47 ล้านตัน มีการใช้ยางพาราในประเทศเพียง 0.60 ล้านตัน ที่เหลือส่งออก ซึ่งทำให้ราคายางพาราของเรานั้นต้องขึ้นอยู่กับราคาตลาดโลกนะครับ ซึ่งก็แปรผันตามปริมาณความต้องการ ที่ผูกโยงกับราคาน้ำมันด้วย เพิ่มความซับซ้อน จนไม่สามารถควบคุมได้ทั้งหมดนะครับ ถึงแม้ว่าประเทศไทย อินโดนีเซีย และมาเลเซีย ซึ่งเราอาจจะถือว่าเป็นประเทศผู้ผลิตยางพารารายใหญ่ของโลกนะครับ มีพื้นที่กรีดยางพารารวมกัน 50.23 ล้านไร่ คิดเป็นร้อยละ 62.09 ของเนื้อที่กรีดยางพาราของโลกนะครับ มีผลผลิตรวม 8.56 ล้านตัน คิดเป็นร้อยละ 63.27 ของผลผลิตโลกก็ตาม แต่อินโดนีเซีย ที่แม้จะมีการใช้ยางพาราในประเทศน้อยมากเช่นกัน แต่ที่กล่าวไปแล้วนะครับ การปลูกยางก็ไม่ใช่รายได้หลัก ส่วนมาเลเซีย ได้สร้างสมดุลการใช้ยางพาราในประเทศ ให้ใกล้เคียงกับผลผลิตรวมทั้งสนับสนุนการปลูกปาล์มน้ำมัน และการปลูกพืชเชิงซ้อนอีกด้วย เรื่องนี้เราต้องให้ความสำคัญนะครับ ต้องช่วยกันทำต่อไป เรื่องที่ 4. คือประเด็นความไม่เหมาะสมของพื้นที่ปลูกยางพารา ในปี 2559ประเทศไทยมีพื้นที่กรีดยางราว 20 ล้านไร่ โดยเฉลี่ยอัตราผลผลิต ประมาณ 225 ถึง 245 กิโลกรัมต่อไร่ ในขณะที่พื้นที่กรีดยาง ภาคเหนือให้ผลผลิตเฉลี่ยต่ำสุด คือ 143 กิโลกรัมต่อไร่ และภาคอีสานให้ผลผลิตเพียง 185 กิโลกรัมต่อไร่ เนื่องจากอากาศ ปริมาณน้ำ และสภาพดิน ไม่เหมาะกับการปลูกยางพารานะครับ ที่ต้องการอากาศร้อนชื้น และฝนตกชุก เหมือนภาคใต้ ทำให้ผลผลิตต่อไร่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย อีกทั้งปัญหาค่าขนส่งผลิตภัณฑ์ยางมาสู่ตลาดกลาง ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ภาคใต้ ก็เป็นส่วนหนึ่งของต้นทุนของเกษตรกรสวนยาง ที่ต้องเพิ่มขึ้นอีกด้วยนะครับ ดังนั้น แนวทางการแก้ไขปัญหา ของยางพาราของรัฐบาลนี้ ในระยะยาว เพื่อความยั่งยืนก็คือ... 1. ส่งเสริมให้เกษตรกรชาวสวนยางมีการประกอบอาชีพเสริม เช่น เกษตรทฤษฎีใหม่ เกษตรผสมผสาน การปลูกพืชแซม เช่น ไม้ผล ไม้ยืนต้น พืชผัก พืชไร่ พืชสมุนไพรนะครับ ที่เหมาะสมกับตลาดท้องถิ่นของตนเอง การทำปศุสัตว์ และประมง ควบคู่ไปกับการทำสวนยาง เพื่อให้มีรายได้ที่หลากหลายเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันและกระจายความเสี่ยง ลดการพึ่งพารายได้จากการทำสวนยางแต่เพียงอย่างเดียวนะครับ อาทิเช่น รัฐบาลนี้ให้มี การสนับสนุนสินเชื่อให้เกษตรกรชาวสวนยางรายย่อย สำหรับประกอบอาชีพเสริม เป็นต้นนะครับ ที่ผ่านมามีชาวสวนยางประกอบอาชีพเสริมประมาณ 380,000 ราย และในปี 2560 มีชาวสวนยางหันมาทำเกษตรแบบผสมผสานมากขึ้น อีกกว่า 3,000 รายนะครับ คิดเป็นร้อยละ 7 ของจำนวนเกษตรกรทั้งหมดที่โค่นยางแล้วปลูกในปีนี้นะครับ ยังไม่พอนะครับ ต้องมากกว่านี้นะครับ แล้วรัฐบาลก็จะได้สามารถส่งเสริมเรื่องการตลาดให้ด้วยนะครับ 2. สนับสนุนสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำ รัฐก็จะชดเชยอัตราดอกเบี้ย ร้อยละ 3 ต่อปี ให้แก่สถาบันเกษตรกร และผู้ประกอบการ ในการดำเนินธุรกิจแปรรูปยางนะครับ ทั้งเป็นเงินทุนหมุนเวียน การปรับปรุงอาคาร การจัดหาเครื่องจักร อุปกรณ์สมัยใหม่ เพื่อพัฒนาศักยภาพในการส่งออกและแปรรูปยางในอนาคต 3. ส่งเสริมให้มีการใช้ยางพาราเพื่อเป็นวัตถุดิบในการผลิตผลิตภัณฑ์ยางภายในประเทศให้มากขึ้น รวมทั้งได้มอบหมายให้หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องมีการใช้ยางพาราเพิ่มขึ้นด้วยนะครับ เช่น การสร้างถนน ลานกีฬา ถุงมือยาง และอื่นๆ เป็นต้น 4. ควบคุมและลดพื้นที่ปลูกยางพาราให้เหมาะสมนะครับ โดยลดพื้นที่ปลูกยางลงให้ได้ มีเป้าหมายปีละ 4 แสนไร่ แต่ต้องหาอย่างอื่นแทนนะครับ เพื่อจำกัดปริมาณผลผลิตให้มีความสมดุลกับความต้องการใช้ ปัจจุบันเราสามารถลดพื้นที่ปลูกได้แล้ว 1.19 ล้านไร่ สามารถลดผลผลิตได้ 0.27 ล้านตัน จะเห็นว่ายังลดได้น้อยมากนะครับ แต่จะทำยังไงได้ เพราะเขาไม่มีอาชีพอื่นอีกเลย ก็ต้องหาอาชีพอื่นให้เขาทำด้วย จะได้ลดได้เร็วขึ้นนะครับ ซึ่งก็จะทำให้ปริมาณผลผลิตยางในตลาดโลก ใกล้เคียงกับความต้องการ ทำให้ราคาไม่ตกต่ำมากนักนะครับ ทั้งนี้ เราจะเน้นการลดพื้นที่ปลูกยางที่ไม่เหมาะสมในบางพื้นที่นะครับ พื้นที่ภาคเหนือ ซึ่งก็คงมีปัญหาทั้งปริมาณน้ำ ระบบชลประทาน และการขนส่ง ที่ล้วนแต่มีต้นทุนสูงนะครับ หรือพื้นที่ๆ ไม่มีเอกสารสิทธิ์ ซึ่งมีกว่า 2 ล้านไร่ ในปัจจุบัน แล้วเราจะดูคนที่ทำสวนยางในตรงนี้อย่างไร นั่นก็เป็นงานหนักอีกอันนะครับ 5. จัดตั้ง “การยางแห่งประเทศไทย (กยท.)” ขึ้นเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2558 ตามพระราชบัญญัติการยางแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2558 ได้มีการยุบรวม 3 หน่วยงาน ก็คือ สถาบันวิจัยยาง กรมวิชาการเกษตร, สำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง และองค์การสวนยาง เข้าด้วยกัน มีภารกิจในการจัดทำยุทธศาสตร์สำหรับการบริหารจัดการยางของประเทศแบบครบวงจรให้มีประสิทธิภาพ ขณะนี้เราก็เพิ่งเริ่มปฏิบัติมานะครับ อาจจะมีหลายอย่าง ถูกใจบ้าง ไม่ถูกใจบ้าง เพราะว่าวันนี้ เราต้องเอาภาคเอกชนมาร่วมด้วย แต่จะทำอย่างไรให้เกิดความโปร่งใสนะครับ ซึงเรื่องที่ร้องเรียนกันขึ้นมาต่างๆ อันนี้รัฐบาลก็ได้ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ตรวจสอบการดำเนินการต่างๆ ของ กยท. ตามที่มีการร้องเรียนอยู่นะครับ เรื่องที่ 6. ความร่วมมือกับประเทศผู้ผลิตยางพาราที่สำคัญของโลก เราทำมาตลอด ไม่ใช่ไม่ทำเลย ได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย และไทย ผ่านสภาไตรภาคียางระหว่างประเทศ (ITRC) มีมาตรการควบคุมอุปทานยาง (Supply Management Scheme : SMS) ให้อนาคตมีปริมาณการผลิตยางพาราของแต่ละประเทศในปริมาณที่เหมาะสม ส่วนใหญ่มีปัญหาที่เรานะครับ เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดโลก เพราะว่าถ้าหากสถานการณ์ยางพาราตกต่ำมาก เราก็จะต้องมีมาตรการในการควบคุมปริมาณการส่งออกยางพาราของประเทศสมาชิก (มาตรการ Agreed Export Tonnage Scheme : AETS) เหล่านี้เป็นต้น ก็ต้องหารือกันนะครับ บางครั้งก็อาจจะไม่เห็นชอบร่วมกัน ใครเขาไม่เดือดร้อน เดือดร้อนน้อย เขาก็ไม่อยากมีมาตรการเหล่านั้น แต่เรามีปัญหามากที่สุด เพราะฉะนั้นผมอยากให้ทุกนะครับ ทุกฝ่ายในห่วงโซ่ของยางพาราไทยนะครับ ได้มีความเข้าใจที่ตรงกัน ขอให้ทุกคนได้อดทน เปลี่ยนแปลง ไว้ใจซึ่งกันและกันนะครับ แล้วก็มีหลักการและเหตุผลไม่ว่าจะประท้วง หรือยื่นหนังสืออะไรต่างๆ ก็ตาม ผมร้องนะครับ ก็ขอให้ยื่นอย่างสงบแล้วกัน ไม่อยากให้มีการนำเกษตรกรเข้ามาที่กรุงเทพ ต้องมายื่นกับนายก มาคนเดียว ยื่นในพื้นที่นั่นแหละ แล้วเขาก็ส่งถึงผมอยู่ดีนะครับ มาเสียเวลาการทำมาหากินเปล่าๆ สิ้นเปลืองด้วยนะ ผมไม่อยากให้เรื่องนี้เป็นเรื่องของการเมือง ผมเข้าใจเศรษฐกิจสำคัญที่สุด ก็ปัญหาอยู่ที่ว่ายังไงนะครับ ถ้าทุกคนทำสวนยาง เมื่อยางราคาไม่ดี คุณภาพชีวิตก็ไม่ดี เพราะรายได้มีแต่ยางอย่างเดียว ต้องคิดใหม่นะครับ จะได้แก้ปัญหาได้ร่วมกันนะครับ ตามนโยบายต่างๆ ของรัฐบาล ทุกฝ่ายก็มีประโยชน์ร่วมกัน รัฐบาลก็ไม่มีข้อขัดแย้ง มีรายได้มากขึ้น ประชาชน เกสรกรสวนยาง หรือเกษตรกรอื่นๆ ก็ต้องทำเช่นเดียวกันนี่แหละนะครับ พี่น้องประชาชนที่เคารพ ครับ, ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสเข้าร่วมการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจ APEC นะครับ ครั้งที่ 25 ที่นครดานัง ประเทศสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ได้พบปะหารือกับผู้นำจาก 21 เขตเศรษฐกิจรอบๆ มหาสมุทรแปซิฟิก เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจร่วมกัน ซึ่งผมก็ได้เสนอในที่ประชุมนะครับ ถึงแนวนโยบาย “ประเทศไทย 4.0” ไทยแลนด์ บวกหนึ่งนะครับ ในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ด้วยการสร้างมูลค่าเพิ่มผ่านการประยุกต์ใช้นวัตกรรม ทั้งด้านการเกษตร การสนับสนุนการเกษตร สนับสนุนเกษตรกรให้เป็น Smart Farmer นะครับ พร้อมน้อมนำ “เกษตรทฤษฎีใหม่” ตามหลักปรัชญาของ “เศรษฐกิจพอเพียง” ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 มาปรับใช้กับเทคโนโลยีสมัยใหม่นะครับ ส่วนในภาคการผลิต ผมได้กล่าวถึงการจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ และ EEC นะครับ เพื่อจะสนับสนุนการยกระดับอุตสาหกรรมของประเทศ และก็เพิ่มมูลค่าในการแข่งขันจนสามารถไปสู่เวทีโลกได้นะครับ ที่สำคัญก็คือเราต้องเข้มแข็ง สร้างนวัตกรรม มีขีดความสามารถสูง ไม่เช่นนั้นเราสู้เขาไม่ได้นะครับ สินค้าเราก็ขายไม่ออก ก็ทำให้ห่วงโซ่ทั้งหมดมีปัญหานะครับ ที่สำคัญที่สุดก็คือการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์นะครับ เราก็ต้องเตรียมการให้รองรับการเปลี่ยนแปลงในโลกยุคดิจิทัล ในขณะเดียวกัน ก็ต้องสร้างความ สามารถในการแข่งขันของประเทศนะครับ ให้ความสำคัญกับในเรื่องของการอำนวยความสะดวกของการประกอบการธุรกิจ การสนับสนุน ไมโคร SMEs และการเตรียมพร้อมในการเข้าเป็นส่วนหนึ่งของ “ห่วงโซ่อุปทาน” ของภูมิภาคและของโลก เราอยู่คนเดียวไม่ได้นะครับ เราต้องอยู่กับคนอื่นเขาด้วยนะครับ เพราะฉะนั้นการหารือก็ต้องเป็น ทวิภาคี พหุภาคี โดยทั้งหมดนั้นผมได้เน้นย้ำว่า ประเทศไทยได้ตระหนักถึงความสำคัญของความเชื่อมโยงทั้งทางเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุน ทั้งกายภาพและอื่นๆ นะครับ ที่สำคัญก็คือประชาชนกับประชาชน ระหว่างประเทศสมาชิก ในการสร้างการเติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืน เราคงจะต้องเร่งผลักดันการเปิดเสรีการค้าระหว่างกันให้มากขึ้น ที่ประชุมก็ได้ย้ำเตือนเจตนารมณ์ร่วมของ APEC นะครับ ในการบรรลุเป้าหมายโบกอร์ (Bogor Goals) ตั้งเป้าให้มีการเปิดเสรีทางการค้าและการลงทุนในภูมิภาคให้ได้ภายในปี พ.ศ. 2553 สำหรับสมาชิกที่พัฒนาแล้ว และในปี พ.ศ. 2563 สำหรับสมาชิกกำลังพัฒนาที่เหลือ เราก็มีเวลาไม่มากนะครับ อีกเพียง 3 ปี ที่เราต้องช่วยกันขับเคลื่อนในทุกมิติไปพร้อมๆ กันด้วยนะครับ ในการประชุมครั้งนี้ ก็จะเห็นได้ว่า มีผู้นำประเทศใหญ่ๆ หลายประเทศเข้ามาร่วมด้วย ผมก็ได้ผลักดันบทบาทของไทยในฐานะหนึ่งในประเทศหลักของบช ASEAN รวมถึงการสร้างภาพลักษณ์นะครับ ของความเป็นผู้นำทางแนวคิด มีวิสัยทัศน์ ในการพัฒนาประเทศให้เติบโตไปกับภูมิภาคได้อย่างยั่งยืน คือต้องไปด้วยกันนะครับ เราต้องโชว์คนอื่นเขาด้วย ทำคนเดียว เก่งคนเดียว ก็ไปไม่ได้นะครับ ด้วยหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อจะสร้างความเข้มแข็งจากข้างใน หรือ “ระเบิดจากข้างใน” นะครับ และสร้างประโยชน์ให้กับภูมิภาคได้อย่างเต็มที่ในภาพรวม ผ่านความร่วมมือในการทำการค้า การลงทุนระหว่างกัน ผมหวังว่านะครับ เราจะช่วยเปิด “ประตูโอกาส” ของแต่ละประเทศ ตามศักยภาพนะครับ และช่วยกันพัฒนา ศักยภาพที่มีอยู่ เพื่อให้เกิดการสนับสนุนการทำธุรกิจของภาคเอกชน รวมถึงการถ่ายทอดเทคโนโลยี เพื่อยกระดับศักยภาพการผลิตและรายได้ของทุกประเทศต่อไปเพื่อลดความเหลื่อมล้ำของการพัฒนานะครับ ลดช่องว่างการพัฒนา ซึ่งแตกต่างกันอยู่มากในวันนี้ หลังการประชุม APEC ผมได้เดินทางต่อไปยังกรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ นะครับ เพื่อร่วมประชุมสุดยอด ASEAN ครั้งที่ 31 ในปีนี้ถือว่าเป็นช่วงเวลาสำคัญ เนื่องด้วยเป็นการครบรอบ 50 ปีอาเซียน ที่ผ่านมาถือว่าความร่วมมือในภูมิภาค อย่างดียิ่งนะครับ มีความคืบหน้าไปมาก มูลค่าการค้าระหว่างกัน ณ ช่วงเริ่มต้น ประมาณ 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯเพิ่มขึ้นเป็น 23,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปัจจุบัน นะครับ ในขณะที่รายได้ต่อหัวประชากรของภูมิภาค จากปี 2550 ถึงปี 2558 ขยายตัวถึงร้อยละ 63.2 สูงขึ้นมากนะครับ แต่ก็คงยังไม่พอ เพราะหลายประเทศมีความแตกต่าง มีความเหลื่อมล้ำกันอยู่นะครับ ประเด็นสำคัญที่บรรดาผู้นำได้หารือกันก็คือการมองอนาคตของประชาคมอาเซียน มองไปข้างหน้านะครับ ทั้งการเมือง เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม อย่างมีเสถียรภาพ โดยยึดหลักนิติธรรม มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง ให้ตรงความต้องการของเขานะครับ ให้เขาได้รับประโยชน์สูงสุด พร้อมทั้งประเด็นอื่นๆ ที่เป็นความท้าทายของโลก อาทิการรักษาความเป็นแกนกลางของอาเซียนในสถาปัตยกรรมภูมิภาคนะครับ นอกจากนี้ ก็มีการหารือในประเด็นที่คาบเกี่ยวระหว่าง “3 เสาหลัก” ของอาเซียน การเมือง, เศรษฐกิจ, สังคมและวัฒนธรรม อาทิ โครงการและแผนงานที่เป็นรูปธรรม เพื่อการส่งเสริมและขยายความเชื่อมโยงภายในและนอกภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้ง การดำเนินการ เพื่อบรรลุเป้าหมายตามวิสัยทัศน์ประชาคมอาเซียน ค.ศ. 2025และวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. 2030 นะครับ ซึ่งประเทศไทย อยู่ในฐานะเป็นผู้ประสานงานของอาเซียนด้วยนะครับ ในฐานะที่ผมเป็นตัวแทนของพี่น้องประชาชนชาวไทย และประเทศไทย ผมก็ได้แจ้งต่อที่ประชุมว่า เรายังคงต้องร่วมกันขับเคลื่อนประชาคมอาเซียน ให้เข้มแข็ง มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ต่อไป ให้ได้ในอีก 50 ปีข้างหน้า ถึงแม้โลกจะมีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ก็ตาม เราก็เตรียมความพร้อมของเราเสมอ รองรับมาตรการ รองรับความเสี่ยงนะครับ การเปลี่ยนแปลงของโลกใบนี้ซึ่ง เป็นพลวัตรนะครับ เปลี่ยนแปลงตลอดเวลานะครับ ในทุกๆ เรื่อง เราต้องให้ความ สำคัญ เรื่องการเสริมสร้างศักยภาพในการที่จะสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ส่งเสริมความมั่นคงของมนุษย์ ให้อาเซียนขยายบทบาทให้ได้มากขึ้นในเศรษฐกิจโลกนะครับ รวมถึงการขยายความเชื่อมโยงออกไปยังนอกภูมิภาค เช่น เอเชีย และแปซิฟิก รวมทั้งประชาคมโลก อย่างเป็นระบบ เพื่อจะรองรับการค้าและการลงทุนที่จะมีมากขึ้น และเป็นประตูสู่ตลาดใหม่ๆ ให้กับภูมิภาคนะครับ ในขณะเดียวกันเราต้องรักษาความเข้มแข็งภายในของอาเซียน สร้างความมั่นคงทางพลังงานและอาหาร รวมถึงการรับมือกับภัยคุกคาม จากนอกภูมิภาคนะครับ เราจะต้องพยายามดำเนินการร่วมกันโดยสันติวิธี ขจัดความขัดแย้งนะครับ เราสามารถที่จะเป็นทั้งศักยภาพในด้านเป็นผู้ผลิตนะครับ หลายๆ อย่างเช่น ด้านการเกษตรนะครับ หรือเทคโนโลยี การพัฒนาดิจิตอล อะไรต่างๆ เหล่านี้ เราน่าจะไปเป็นหลักได้นะครับ โดยอาซึยนต้องร่วมมือกัน ในส่วนที่ 2 ก็คือเราเป็นในเรื่องของศักยภาพในเรื่องของการเป็นตลาดใหญ่ เพราะว่าเรามีหลเมืองรวมกันถึง 600 กว่าล้านคน เหล่านี้นะครับเราต้องคำนึงถึงเรื่อง เป็นทั้งผู้ผลิตที่มีคุณภาพ สินค้าที่เป็นนวัตกรรม มีมูลค่า แข่งขันได้ในตลาดต่างประเทศนะครับ แล้วเราก็เป็นตลาดที่ ประชาชนเรามีรายได้ที่เพียงพอ ในการที่จะเข้าไปสู่การใช้เทคโนโลยีนะครับ โดยการใช้ดิจิตอลเข้ามาเสริม สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เราต้องคิดใหม่ทำใหม่ร่วมกันนะครับ รัฐ ประชาชน เอกชน ในการเดินทางไปเยือนต่างประเทศในครั้งนี้นะครับ ผมต้องการ ให้ประชาคมโลกได้เห็นถึงความสำคัญของเรา ที่ใช้การขับเคลื่อนโดยกลไก “ประชารัฐ” นะครับ ทุกประเทศก็เห็นชอบนะครับ ทุกประเทศก็พยายามทำแบบนี้ เช่นเดียวกัน แต่เราเรียกว่า “ประชารัฐ” ของเรานะครับ เราต้องอาศัยความพยายามของภาครัฐ ทำให้มากขึ้นประกอบกับความร่วมมือร่วมใจของเอกชนและภาคประชาชน ถ้ารัฐคิด แล้วรัฐทำอย่างเดียวไปไม่ได้เพราะฉะนั้นต้องช่วยกันคิด ช่วยกันทำนะครับ รัฐ เอกชน ประชาสังคม แม้กระทั่งในส่วนของ NGO ต่างๆ ก็มาช่วยกันนะครับ อะไรที่เป็นการพัฒนาประเทศ นะ เราคิดอย่างเดิม บางทีมันไม่ได้นะครับ ทำให้ทุกอย่างมันเดินไม่ได้ไง การใช้จ่ายภาครัฐก็ลงไปไม่ได้ โครงการก็ไม่ได้รับการอนุมัติ การเบิกจ่ายงบประมาณก็ทำได้ช้า มันก็เลยไม่เกิดทั้งเม็ดเงินเม็ดงาน อาชีพรายได้ ลงไปสู่พื้นที่ท้องถิ่น แล้วปัญหาก็ซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่อย่างเดิม ปัญหาน้ำท่วม ฝนแล้ง การพัฒนาที่เหลื่อมล้ำกัน ทุกภาคไม่มีความเข้มแข็ง ดีมานด์ ซัพพลายก็ไม่สอดคล้อง เหล่านี้มันต้องใช้กลไกประชารัฐทั้งหมดนะครับ เดินไปตามแผนปฏิรูปของเรา ตามแผนยุทธศาสตร์ชาติของเรา อะไรที่มันสำคัญ อะไรที่ต้องร่วมมือ พรรคการเมืองหรือทุกรัฐบาลก็ต้องเดินหน้าต่อไป ก็คงต้องทำทั้งสองด้าน ทั้งภายในและภายนอกด้วย และเราต้องปรับตัวเข้าสู่โลกเทคโนโลยีดิจิตอลนะครับได้อย่างยั่งยืน มีความสมดุล และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เป็นดิจิตอลที่สร้างสรรค์ ไม่ใช้ไว้ทำลายกัน เราจะต้องประยุกต์หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงให้เหมาะสม ทุกอย่างต้องประยุกต์หมดนะครับ เพราะว่าท่านทรงวางไว้เพื่อคนทุกคนคนทุกกลุ่ม คนทุกฝ่าย และในทุกกิจการ ไม่ใช่เฉพาะภาคเกษตรอย่างเดียวนะ นอกจากนี้ ผมต้องการเร่งเสริมสร้างความร่วมมือทางการค้า การลงทุน การเงิน และ การสร้างความมั่นคงภายในภูมิภาคไปด้วย เพื่อขยายตลาดให้กับผู้ผลิตไทย คือต่างคนต่างต้องตอบแทนกันนะครับ ผมก็พูดกับทุกประเทศ ไม่ใช่ว่าเขาขายเราได้อย่างเดียว เราก็ต้องไปขายเขาได้ แต่เราต้องปรับกฎระเบียบกติกา ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของกฎหมาย ในเรื่องของภาษี ในเรื่องของสิทธิประโยชน์ ในเรื่องของการข้ามแดน การขนส่ง ระบบโลจิสติกต่างๆ แม้กระทั่งการค้าขายออนไลน์ ก็ต้องสอดคล้องกันให้ได้นะครับ ซึ่งจะช่วยสร้างงาน สร้างรายได้ และ ยกระดับความเป็นอยู่ ให้กับพี่น้องประชาชนได้มากยิ่งขึ้น ทุกสาขาอาชีพ และทุกกลุ่ม มีการอำนวยความสะดวกให้กับธุรกิจทั้งขนาดใหญ่ - กลาง - เล็ก ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ไม่ใช่ต่างประเทศอย่างเดียว เพราะมีกติกาเดียว คนไทยลงทุนก็ใช้กติกานี้นะครับ สิทธิประโยชน์ ทั้งทางภาษีและไม่ใช่ภาษี เพื่อจะได้เข้าถึงโอกาสต่างๆ ได้อย่างเท่าเทียม มากขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมด้วย ครับ ผมขอยกตัวอย่างการขยายความร่วมมือระหว่างประเทศในภูมิภาคด้วยการใช้ประโยชน์จากพัฒนาการทางเทคโนโลยีในการสร้างโอกาส เพิ่มประสิทธิภาพ และลดต้นทุน เพื่อขับเคลื่อนให้ประเทศไทย และภูมิภาค ก้าวเข้าสู่ "สังคมดิจิทัล" และ สนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลได้อย่างเต็มที่ อาทิ... 1. ความร่วมมือของภาครัฐระหว่างธนาคารแห่งประเทศไทย และ ธนาคารกลางสิงคโปร์ ในการพัฒนาความเชื่อมโยงของระบบการชำระเงินที่ทันสมัยของ 2 ประเทศ ของเราอาจจะเริ่มก่อนด้วยซ้ำไป คือ ระบบพร้อมเพย์ ที่ผมเคยกล่าวถึงไปแล้วก่อนหน้า และระบบที่คล้ายกันของสิงคโปร์ ที่มีชื่อว่า Paynow โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้การโอนเงินระหว่างประชาชนใน 2 ประเทศ สามารถทำผ่านเทคโนโลยีบนโทรศัพท์มือถือได้อย่างสะดวกและปลอดภัย เน้นว่าจะต้องปลอดภัยด้วย ซึ่งทั้ง 2 ธนาคาร ก็จะได้ศึกษาแนวทางร่วมกัน เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติที่เหมาะสม และตอบโจทย์ความต้องการของทั้ง 2 ประเทศ ในระยะต่อไป ก็คงต้องขยายไปทั่วภูมิภาค กับประเทศอื่นๆ ด้วยในอนาคต และ 2.ความร่วมมือระหว่างภาครัฐของไทย กับบริษัทเอกชนยักษ์ใหญ่ของจีนเพื่อส่งเสริมให้ไทย มีบทบาทเป็น "ศูนย์กลางกระจายสินค้า" ไปยังภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เชื่อมโยงการขนส่งและเชื่อมโยง "ห่วงโซ่การผลิต" เข้าด้วยกัน ผ่าน "ดิจิทัล อีโคซิสเต็ม" ครบวงจร ทั้ง อีคอมเมิร์ซ (e-Commerce) อีโลจิสติกส์ (e-Logistic) อีไฟแนนซ์ (e-Finance) และโครงสร้างพื้นฐานด้านการสื่อสารและเทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งรัฐบาลนี้พยายามผลักดันให้มีความพร้อม สำหรับยกระดับ "การค้าออนไลน์" อันจะเป็นการสร้างโอกาสทางการค้าขาย และการเข้าถึงตลาด ทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศ รวมทั้ง โอกาสด้านการศึกษาหาความรู้ และการถ่ายทอดเทคโนโลยีใหม่ๆ อีกด้วย ทั้งนี้ เป็นการ "เปิดประตูโอกาส" ของชุมชนต่างๆ ทั่วประเทศ เปิดสมอง เปิดปัญญา ไปสู่สายตาชาวโลก ได้อย่างทั่วถึงยิ่งขึ้น ช่วยให้สินค้า OTOP + GI + SME ไมโคร SME และ Startups ของเรา มีโอกาสในการขยายตลาด สร้างรายได้ ครั้งใหญ่ นอกจากนี้ การพัฒนาดังกล่าว จะช่วยให้ผู้ผลิตของไทย สามารถเข้าถึงข้อมูลความต้องการของตลาดนอกประเทศได้มากขึ้น ไม่เพียงประชากรในอาเซียน กว่า 600 ล้านคนแต่รวมไปถึงประชาชนในประเทศจีน กว่า 1,300 ล้านคน และประชากรทั่วโลก อีกด้วย และก็มีอินเดีย ในโลกใบนี้ก็เป็นประเทศทีมีพลเมืองมากก็เป็นตลาดใหญ่ของเราด้วยนะครับ ก็จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ในการวางแผนการผลิต รวมถึงการออกแบบสินค้าและผลิตภัณฑ์ ที่ตรงกับความต้องการของตลาดแต่ละแห่งได้ดีขึ้น และมีจำนวนมากยิ่งขึ้น ตามที่ได้กล่าวมาแล้ว สิ่งที่รัฐบาลนี้ จะเร่งรัดให้เกิดความเชื่อมโยงระบบออนไลน์ของเรา อาทิ โครงการ "เน็ตประชารัฐ" กับระบบเครือข่ายระหว่างประเทศ ให้มีความสมบูรณ์ มากยิ่งขึ้นและต่อเนื่อง สิ่งสำคัญ คือ ความสามารถในการปรับตัว ปรับกลยุทธ์ ให้สอดคล้องรองรับระบบใหม่ๆ เหล่านี้ ตามกฎหมายก็หลายตัว ที่ผมได้กล่าวไปแล้ว หลายอย่างก็เดินหน้าได้ หลายอย่างก็ติดขัดบางประการ เราต้องช่วยกัน จะได้ไปอย่างราบรื่น ทุกคนก็จะได้รับประโยชน์สูงสุด ไม่งั้นบางคนก็บอกว่าไปอยู่ที่คนมีรายได้มาก อยู่ที่นักลงทุนเป็นส่วนใหญ่ แต่อย่าลืมว่าคนของเราก็อยู่ในห่วงโซ่นั้นทั้งหมดนะครับ อยู่ในห่วงโซ่การประกอบการเยอะแยะไปหมด ในหนึ่งกิจกรรม ของเรามีเอสเอ็มอีอยู่เกือบสามล้านราย มีหลายกิจกรรมไม่ว่า ภาคการเกษตร ภาคอุตสาหกรรม การท่องเที่ยว บริการ เยอะแยะไปหมดนะ เพราะฉะนั้นในแต่ละกิจกรรม มันจะมีคนอยู่ในห่วงโซ่เนี่ยสิบล้านคนที่จะได้ประโยชน์จาการหมุนของห่วงโซ่เหล่านี้ อันนั้นแหละคือสิ่งที่เราต้องอธิบายให้ทุกคนเข้าใจ ถ้าห่วงโซ่ใหญ่มันเกิดไม่ได้ เล็กๆ มันจะได้ประโยชน์ได้อย่างไรล่ะครับ ที่ผ่านมาเรามักจะไปส่งเสริมข้างล่างอย่างเดียว อาจจะด้วยในเรื่องของความเป็นประชาธิปไตย ไปดูคนรายได้น้อย ซึ่งมันก็อย่าลืมว่ามันต้องส่งเสริมคนข้างบนเขาด้วยนะ ส่งเสริมแต่ข้างล่างอย่างเดียว มันก็ไปไม่ได้นะ เพราะไม่รู้จะไปออกช่องไหน เอาทุกคนเข้ามาอยู่ในกติกาเดียวกันซะ ดูแลคนรายได้น้อยให้มากขึ้น ให้เขาได้ประโยชน์อย่างแท้จริง โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนจากเขา นั่นคือสิ่งที่เราต้องช่วยกัน เราต้องพัฒนาตนเองด้วยนะครับ พี่น้องประชาชนที่รัก ครับ ภาพความเชื่อมโยงของประเทศไทย กับอาเซียน กับประชาคมโลก โดยเฉพาะ "ชาติมหาอำนาจ" ต่างๆ ที่ผมได้กล่าวมานั้น มีความสำคัญต่อเราในทุกมิติ ในระยะต่อไปนี้ ทั้งด้านการเมือง ความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อม อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งนี้ จาก 2 ตัวอย่างความร่วมมือที่เพิ่งกล่าวไปแล้วนั้น พี่น้องประชาชนคงได้รับรู้ว่า ผมให้ความสำคัญกับ "ตลาด" ทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ ที่มีความเชื่อมโยงกันอยู่ และส่งผลกระทบโดยตรงต่อ "ปากท้อง - ความเป็นอยู่" ของพวกเราทุกคน ไม่ว่าจะทางตรง หรือทางอ้อม คนจน คนรวยก็ตาม เพราะ "ตลาด" เป็นจุดเริ่มต้นของการมีปฏิสัมพันธ์ของคน มีการค้าขายและการแลกเปลี่ยนของชุมชน ไปจนถึงระบบเศรษฐกิจฐานรากของประเทศ ที่กระจายตัวอยู่ ทั่วทุกภูมิภาค ผมจึงมีนโยบายให้ตั้ง "ตลาดประชารัฐ" ทั้ง 9 แบบ ขึ้นเพื่อส่งเสริมให้พี่น้องประชาชน และผู้ประกอบการ ทุกกลุ่ม ทุกสินค้า ทุกระดับ ทั้งสินค้าเกษตร OTOP SMEs ไม่โคร SMEs วิสาหกิจชุมชน สหกรณ์ ร้านค้า หาบเร่ แผงลอย ได้มีพื้นที่ค้าขายมากขึ้น รวมทั้ง ช่วยเหลือผู้ประกอบการที่เดือดร้อนจากการไม่มีสถานที่ค้าขาย ลดต้นทุนค่าเช่าแผง - ค่าตลาด และ ช่วยลดค่าครองชีพของคนในแต่ละชุมชน ทางอ้อมด้วยโดยการกำหนดพื้นที่ตลาดใหม่ หรือ ขยายพื้นที่ตลาดเดิม ด้วยความร่วมมือในรูปแบบ "ประชารัฐ" ตามที่ได้กล่าวไว้ เมื่อวันศุกร์ที่ 3 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ภายหลังจากการเปิดให้ลงทะเบียน ตามโครงการ "ตลาดประชารัฐ" มีประชาชนจำนวนมาก มาลงทะเบียนจองพื้นที่ตลาดประชารัฐแล้ว ทั่วประเทศ (ตั้งแต่วันที่ 10 - 14 พฤศจิกายน 2560)ราว 30,000 ราย โดยเฉพาะ "ตลาดประชารัฐคนไทยยิ้มได้" กว่า 2,000 แห่ง รองรับได้ 20,000 รายจองไปแล้ว กว่า 17,000 ราย และ "ตลาดประชารัฐท้องถิ่นสุขใจ" กว่า 3,800 แห่งจองไปแล้ว กว่า 13,000 ราย จากทั้งหมด 40,000 ราย เป็นต้น ซึ่งยังคงเปิดให้ลงทะเบียนอย่างต่อเนื่องก็ทดลองเข้าไป ไปดูว่าไปได้ไหม ไหวไหม เราจะเปิดลงทะเบียนต่อเนื่องไปจนถึงสิ้นเดือนพฤศจิกายนนี้ โดยไม่เว้นวันหยุดราชการ อย่าบอกว่าไม่ทราบ ผมพูด 3-4 ครั้งแล้ว ไปเถอะครับไปดูว่าเป็นยังไง เข้าไปก่อน ไปดู ไปศึกษาว่าเราจะปรับตัวเข้ากับตรงนี้ได้ไหม ถ้าเราปรับตัวเอง สินค้าเราก็ดี เราก็ขายได้สิครับ มันต้องแข่งขันกันหมดน่ะวันนี้นะ ทำแบบเดิมๆ บางทีมันก็ขายไม่ออกนะ ซ้ำๆ กันมากๆ มันก็ขายไม่ออก มันต้องมีของตัวเองนะ มีของตัวเองบ้าง อะไรบ้าง ทำนองนี้นะครับ จุดขายไง สตอรี่ของตัวเอง สามารถไปลงทะเบียนเพิ่มได้นะครับ ณ ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัด และอำเภอ ทั่วประเทศ ศูนย์เหล่านี้มีอยู่ทั่วประเทศแล้วนะครับ ถ้าบอกไม่รู้จะไปไหน ก็ไม่รู้จะว่าไงนะแบบนั้นน่ะ สำหรับกรุงเทพมหานครลงทะเบียน ณ สำนักงานเขต ทั้ง 50 เขต ทั้งนี้ รายละเอียดคุณสมบัติของผู้ลงทะเบียน, เงื่อนไขตลาดแต่ละประเภท และ ข้อมูลเกี่ยวกับตลาดประชารัฐ สามารถศึกษาข้อมูลผ่านทางช่องทางต่างๆ "ตามหน้าจอ" นะครับ ซึ่งกำหนดเปิดตลาดพร้อมกัน ในวันที่ 5 ธันวาคมนี้ นะครับ พี่น้องประชาชน ครับ, สำหรับกรณี "การบริหารจัดการน้ำ" เป็นสิ่งที่เราต้องให้ความสำคัญอย่างที่สุด ทั้งรัฐ เอกชน ภาคประชาสังคม ผมอยากให้ข้อมูลเสริม เพื่อสร้างความเข้าใจและร่วมมือ ไม่อยากให้กล่าวโทษกันไปมา หรือเป็นประเด็นทางการเมือง โดยเราต้องยอมรับร่วมกันว่า ปีนี้ปริมาณน้ำมีค่อนข้างมาก ส่วนหนึ่งมาจากจำนวนพายุดีเพรสชั่น ที่เข้ามาทั้งเล็กทั้งใหญ่ ประมาณ 20 ลูก กว่านั้นนะครับ เนื่องจากเป็นช่วงรอยต่อของปรากฏการณ์ ลานินย่า และเอลนินโย่ ทำให้สภาพอากาศแปรปรวน คาดเดายาก แม้กระทั่งภาพถ่ายดาวเทียมที่มีอยู่ก็ตาม บางทีก็ไม่ทันต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น จะเห็นว่าประกาศล่วงหน้าแล้วแต่มันไม่ใช่ ก็เลยกลายเป็นว่า มันไม่ตรงอีก ก็เห็นใจกันบ้างแล้วกันนะครับ บ้านเรือน โดยเฉพาะในแถบที่มักมีน้ำท่วมขัง ที่ลุ่มต่ำ เช่น ในเขตอำเภอโผงเผง - บางบาล - บางระกำ อยุธยา หรือชัยนาท เหล่านี้ ที่เคยมีใต้ถุนสูง ซึ่งเป็นภูมิปัญญาดั้งเดิม ที่สอดคล้องกับวิถีธรรมชาติ หน้าน้ำ น้ำก็ขังท่วมก็ต้องขึ้นไปอยู่ชั้นบน แต่วันนี้บ้านเรือนส่วนใหญ่ กลับไม่มีใต้ถุน เพราะถูกดัดแปลงเป็นพื้นที่ใช้สอย เพื่อรองรับจำนวนสมาชิกในครอบครัวที่เพิ่มขึ้น บางครั้งก็เป็นคนจังหวัดอื่นเข้าไปอยู่อาศัยในพื้นที่ที่อาจจะมีปัญหาจากน้ำท่วม น้ำขัง แล้วก็ไม่เคยชินด้วยนะครับ ก็เลยทำให้รู้สึกว่าได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมมากกว่าแต่ก่อน แต่ทั้งนี้ นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณ ที่ "ในหลวง รัชกาลที่ 9" ได้พระราชทาน "ของขวัญ" เป็นเขื่อนภูมิพล - เขื่อนสิริกิติ์ - เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ให้กับพสกนิกรชาวไทยมายาวนานนะครับ อีกทั้ง พระราชทานแนวคิดเรื่องแก้มลิง และการผันน้ำ ในรูปแบบต่างๆ เพื่อป้องกันปัญหา และบรรเทาผลกระทบในกรณีที่มีปริมาณน้ำฝน และพายุจำนวนมากได้อย่างไรก็ตาม กรณีที่มีน้ำปริมาณที่เกินศักยภาพของระบบบริหารจัดการน้ำที่เรามี เหมือนเช่นปี 2554 และปีนี้ก็เช่นกัน เราจำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่าย ทั้งภาครัฐและเอกชนในการดำเนินการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม และ ดูแลประชาชนที่ได้รับผลกระทบ อย่างเต็มที่ รวมถึง พี่น้องประชาชนก็ต้องพยายามปรับตัว ให้รองรับสถานการณ์ อย่างต่อเนื่อง อะไรจะเกิดขึ้นอีกก็ไม่ทาบ เพราะในอนาคตเป็นธรรมชาติ ผมต้องขอขอบคุณทุกท่าน ที่มีส่วนร่วมกันเข้าใจกันนะครับ ในระยะยาว รัฐบาลก็ได้มีการวางแผนให้มีการบริหารจัดการน้ำ ทั้งระบบ อย่างบูรณาการเพื่อให้พื้นที่ต่างๆ สามารถรองรับภัยพิบัติได้ดีขึ้น และทันท่วงที ซึ่งจะมีการลงทุนวางระบบ ทั้งด้านชลประทาน และระบบขนส่ง ให้สอดคล้องกัน เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อกัน การสัญจรไปมา ถนนหนทางต่างๆ จะทำยังไง ต้องยกระดับหรือไม่บนเส้นทางใดๆก็ตามที่กีดขวางทางน้ำธรรมชาติ ต้องไปแก้ไขทั้งหมด มีเป็น 100 แห่งนะครับ ก้องใช้เวลาในการแก้ไข งบประมาณก็มากนะครับ แต่เราต้องทำเพื่อให้การสัญจรของพี่น้องประชาชน ไปมาได้สะดวก สำหรับความคิดที่รัฐบาลนี้กำลังคิดอยู่คือ การสร้างคลองส่งน้ำ หรือทำช่องทางระบายน้ำ ไปพร้อมๆ กับการสร้างถนน - ทางรถไฟ เหล่านี้ เป็นต้น เพราะบางครั้งเราต้องมีการเวนคืนพื้นที่เพิ่มเติม อาจต้องทำทั้งสองเส้นทาง อันนึงคือเรื่องน้ำ อันนึงคือเรื่องถนน มันเป็นไปได้ไหมครับที่จะทำถนน และทางระบายน้ำหรือคลองส่งน้ำไปด้วย โดยเวนคืนพื้นที่เส้นทางเดียวนะครับ มันก็จะได้เดือดร้อนน้อยลง กำลังให้กระทรวงคมนาคมไปพิจารณานะครับร่วมกับกระทรวงเกษตร มันจะทำให้เกิดผลกระทบน้อยที่สุด ผมไม่อยากให้กระทบใครทั้งสิ้น แต่ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน มันต้องผ่านที่ดินของเอกชนซะเยอะนะครับ เราทุกคนรับทราบดีถึงความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนในทุกพื้นที่ รัฐบาลนี้ ไม่เคยทอดทิ้ง ทุกวันทุกคืน ก็นึกถึงพวกเรานี่แหละ ไม่เคยนิ่งดูดาย คิดใหม่ ทำใหม่ทุกวัน แต่มันก็ไม่ง่ายนักนะครับที่จะทำทุกอย่างให้มันเร็วขึ้นทันใจตลอดเวลา ทุกเรื่องมันเป็นไปไม่ได้ ก็ต้องอดทนร่วมกัน ผมก็ต้องอดทน ท่านก็ต้องอดทน ท่านเดือดร้อน เราก็ไปช่วยเหลือ ให้ผ่านพ้นเวลายากลำบากไปให้ได้ก่อน ความเข้มแข็งก็จะตามมานะครับ ผมก็ไม่อยากจะต้องใช้เงินในการเยียวยามากทุกปีๆ มันสูญเปล่านะครับ เพราะว่าแทนที่เราจะเอาเงินไปทำอย่างอื่น เอาไปดูแลพี่น้องประชาชนอย่างอื่น มันต้องมาเสียไปกับการเยียวยามันก็ไม่พอเพียงกับความเสียหายที่เกิดขึ้น เราต้องคิดแบบนี้นะครับ เพราะฉะนั้นเราก็มีความจำเป็นต้องมีการบริหารจัดการน้ำ อย่างมีวิสัยทัศน์ และยุทธศาสตร์ เพื่อให้เกิดความยั่งยืน เช่นเดียวกับทุกๆ เรื่องที่รัฐบาลนี้ กำลังพยายามดำเนินการอยู่นะครับ เรื่องการระบายน้ำในพื้นที่ภาคกลาง โดยเฉพาะแก้มลิงซึ่งยังมีน้ำขังท่วมอยู่ผมก็ได้สั่งการไปแล้วนะครับ ให้กระทรวงเกษตร กระทรวงมหาดไทย คสช. กองทัพต่างๆ ไปช่วยกัน วางแผนกันว่า จะจูงน้ำเหล่านี้ออกไปได้อย่างไร หรือว่าค่อยๆ ระบายพื้นที่ส่วนใหญ่นี้ออกไป ค่อยๆทยอยน้ำออกไป เข้าไปขังเก็บไว้ในพื้นที่แก้มลิงขนาดเล็กไปเรื่อยๆ หรือไปตามถนนทั่วไป ไม่ใช่ระบายออกทะเลหมดมันก็ วันหน้าก็ไม่มีน้ำอีกเพราะฉะนั้นทุกคนก็ต้องเสียสละที่ร่วมกัน อาจจะทำคูคลอง ไม่ต้องทำขนาดใหญ่ เหมือนเป็นคลองส่งน้ำธรรมชาติ แล้วก็ลากน้ำตรงนี้ ไปตรงโน้นตรงนี้ ทั่วไปให้เหมือนรังผึ้งนะครับ แบบเตาขนมครกเล็กๆเนี่ย มันก็จะมีที่เก็บน้ำมีน้ำเยอะแยะไปเราก็ไม่เดือดร้อนวันหน้า แล้ววันหน้าถ้าฝนตกลงมา ก็อาจมีการท่วมขัง ใช้เวลาให้น้อยลง ต้องเก็บน้ำให้ได้ด้วย อันนี้สั่งการให้หน่วยงานที่ผมกล่าวไปแล้ว และอื่นๆไปพิจารณาเรื่องนี้โดยด่วนนะครับ ไม่ใช่ทำโครงการใหญ่แต่เพียงอย่างเดียว เรื่องเล็กอย่างนี้มันต้องทำและทำให้เร็วด้วย รีบระบายน้ำออกให้เขานะครับ ระหว่างนี้ก็ต้องดูแลความเดือดร้อนของเขาด้วย เขาจะอยู่กินกันอย่างไรนะครับ ทังคน ทั้งสัตว์ สุดท้ายนี้ ในวันที่ 20 พฤศจิกายนของทุกปี เป็น "วันเด็กสากล" และ เป็นวันครบรอบอนุสัญญาว่าด้วย สิทธิเด็กสากล อีกด้วยซึ่งประเทศไทย ก็เป็นหนึ่งในประเทศที่ได้ให้สัตยาบันเอาไว้ว่าจะรับประกันสิทธิขั้นพื้นฐานของเด็กใน 4 ด้าน คือ (1) สิทธิในการอยู่รอด (2) สิทธิที่จะได้รับการปกป้องคุ้มครอง(3) สิทธิที่จะได้รับการพัฒนา และ (4) สิทธิในการมีส่วนร่วม ก็ขอย้ำเตือนให้ผู้ใหญ่ทุกคน พ่อแม่ ผู้ปกครอง ได้ตระหนัก และ ร่วมมือกันพัฒนาเยาวชนของเรา ซึ่งเป็นทรัพยากรที่สำคัญที่สุดของประเทศ ด้วยนะครับ ผมเห็นว่ากิจกรรมดีๆ ในครอบครัวจะมีส่วนสำคัญในการพัฒนาด้านความรู้ การใช้ชีวิต และจิตใจ ของลูกหลานของเรา ได้อย่างมาก ช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์นี้ ผมมีกิจกรรมที่น่าสนใจมาเสนอ ได้แก่ (1) มหกรรมสินค้าเชิงปัญญา 2560(รายละเอียดตามหน้าจอ) นำเสนอผลิตภัณฑ์แปลงโฉมภูมิปัญญาดั้งเดิม เพื่อตอบสนองชีวิตของคนในยุคปัจจุบันเป็นการพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ทั้งด้านคุณค่าและมูลค่า ตามนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ของรัฐบาล และ (2) กิจกรรมครั้งสำคัญระดับชาติ มาตรฐานระดับโลก คือ การสวนสนามทางเรือนานาชาติ จาก 40 ประเทศ และ การจัดการแข่งขันเครื่องบิน Air Race One World CupThailand 2017 ซึ่งหาชมได้ยาก เป็นประสบการณ์ใหม่ที่ดี และ เพิ่มเติมวิสัยทัศน์ให้กับลูกหลานของเรา อีกด้วย ไม่เคยจัดในประเทศไทยมาก่อน ก็ขอเชิญชวนให้ไปเยี่ยมชมในกิจกรรมดังกล่าวด้วยนะครับ หรืออาจจะเป็นกิจกรรมอื่นๆ ที่ผมไม่ได้กล่าวถึงก็ได้ มีการจัดงานมากมาย ปีนี้ก็เป็นปีการท่องเที่ยวด้วยนะครับ ไปช่วยกันดูด้วยเที่ยวในประเทศไทย วันนี้ก็มีปริมาณนักท่องเที่ยวมากขึ้น มีการท่องเที่ยวไปถึงชุมชน ไปถึงพื้นที่การท่องเที่ยวในไร่นา สวนผสม ต่างๆ เหล่านี้ ผมว่ามันจะเป็นรายได้ ไปสู่ท้องถิ่น ถึงครัวเรือนด้วย ช่วยกันทำให้มันเข้มแข็งเถอะ เป้าหมายก็คือ การใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ร่วมกันของคนในครอบครัว และ กระชับความสัมพันธ์ในครอบครัวให้ใกล้ชิดกันมากยิ่งขึ้น ขอบคุณครับขอให้ "ทุกคน" มีความสุข ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ สวัสดีครับ สิว ผด ขึ้นหน้า อย่าได้แคร์ แค่เช็ดก็สะอาด รอยต่างๆ ก็จางหาย Ads by Yengo Premium Recommended for you ชีวิตพังยับ..ตั้งแต่ปล่อยตัวเอง ให้อ้วน 75 โล Mikanutra ฉันทำได้! เปิดสูตรผอม โดยสาวออฟฟิศ..เคยอ้วน Mikanutra Nytive ผู้หญิงกว่าครึ่งที่ลองทำ ประทับใจ! ต้นขาเรียวสวย ทำเลทอง! ออฟฟิศใจกลางสุขุมวิท เช่าวันนี้ ฟรี 3 เดือน* อ้วนลงพุง ชอบท้องผูก ทาน NEWWAY 3S ทลายไขมัน!! แก้ถูกจุด ปัญหาจบ!! หมดปัญหาผมหงอก ผมร่วงบาง ผมล้านใน 45 วัน Ads by Yengo Premium ข่าวยอดนิยม “สิงห์” จับมือ “บ้านทองหยอด” จัดแมตซ์ทั่วประเทศ เฟ้นดาวรุ่งดวล "เมย์-รัชนก" พร้อมทุนการศึกษากว่า 6 แสนบาท “อภิสิทธิ์ ”นำทีมรับฟังปัญหา สมาคมตัวแทนฯร้องภาษีไม่เป็นธรรม-แบงก์บิดเบือนขายประกัน สร้างพญานาคใหญ่สุดในอีสาน ตั้งงบกว่า 20 ล.กระตุ้นท่องเที่ยว สิ้นแล้ว“พัชรา หวังว่องวิทย์”ประธานเครือนำทองเอไอเอ ด้วยหัวใจล้มเหลว ผู้บริหาร-นักขายเอไอเอหลั่งไหลร่วมไว้อาลัย “พัชรา หวังว่องวิทย์” สกสค.ส่งหนังสือจี้“ออมสิน”คืน1.4หมื่นล้าน ดวงวันนี้ ประจำวันศุกร์ที่ 17 พฤศจิกายน 2560 แรม 14 ค่ำ เดือน 12 ปีระกา สงวนลิขสิทธิ์ © ๒๕๕๙ - ๒๕๖๐ บริษัท สยามรัฐ จำกัด | นโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล | เงื่อนไขข้อตกลงการใช้บริการ กองบรรณาธิการ เลขที่ ๑๒ ถนนราชดำเนินกลาง แขวงบวรนิเวศ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร ๑๐๒๐๐ โรงพิมพ์สยามรัฐ เลขที่ ๑๕๘๙ ถนนอรุณอัมรินทร์ แขวงบางยี่ขัน เขตบางพลัด กรุงเทพมหานคร ๑๐๗๐๐