ศุลกากรหนองคาย เรียกตรวจรถยนต์ สองพี่น้องชาวลาวขณะจะกลับฝั่งลาว เจอเงินสดมัดเป็นฟ่อน 98 ล้านบาท ซุกซ่อนกระจัดกระจายเต็มรถ ไม่เว้นแม้ในห้องเครื่อง อ้างนำเงิน 2.5 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐมาแลก เพราะที่บ้านทำธุรกิจแลกเปลี่ยนเงินตรา แต่เจ้าหน้าที่ไม่เชื่อ ขอตรวจสอบละเอียดหวั่นเชื่อมโยงธุรกิจผิดกฎหมาย เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 12 ธ.ค. 60 ที่ด่านพรมแดนสะพานมิตรภาพไทย – ลาว แห่งที่ 1 อ.เมืองหนองคาย ขณะที่นายนิมิตร แสงอำไพ นายด่านศุลกากรหนองคาย พร้อมเจ้าหน้าที่ศุลกากรปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ ได้มีรถยนต์โตโยต้า แลนด์ครุยเซอร์ สีทอง ทะเบียนลาว กก 1844 กำแพงนคร มีนายสุบัน เตยสิริ อายุ 30 ปี และนายคำบอน เตยสิริ อายุ 24 ปี สองพี่น้องชาวลาว บ้านอยู่ที่เมืองจันทะบุลี แขวงนครหลวง สปป.ลาว เป็นคนขับและโดยสารมา ซึ่งเป็นรถยนต์ที่ได้รับแจ้งว่ามีการลักลอบกระทำความผิด ได้ยื่นเอกสารและเดินทางออกนอกประเทศไทย กลับประเทศลาว เจ้าหน้าที่จึงได้ขอตรวจค้น พบว่าภายในรถมีกล่องนมวางอยู่เบาะหลังหลายกล่อง แต่เมื่อเปิดดูพบว่าภายในกล่องนมมีธนบัตรฉบับละ 1,000 บาท เป็นมัด ใช้กล่องนมปิดทับด้านบนไว้ เห็นเป็นที่ผิดสังเกต จึงตรวจค้นรถอย่างละเอียด ก็พบธนบัตรฉบับละ 1,000 บาท เป็นมัดซุกซ่อนกระจัดกระจายไว้รอบคันรถ แม้แต่ในห้องเครื่องรถยนต์ก็บรรจุธนบัตรไว้ในกระเป๋าผ้ายีนส์ และตามซอกต่าง ๆ ของรถ รวมแล้ว 98 ล้านบาท นายนิมิตร แสงอำไพ นายด่านศุลกากรหนองคาย กล่าวว่า ได้รับรายงานทางการข่าวว่ามีการลักลอบนำเงินตราต่างประเทศมาแลกเปลี่ยนในไทย ซึ่งไม่ได้แจ้งทางการตามกฎหมายกำหนด ซึ่งได้ติดตามพฤติกรรมมาระยะหนึ่ง จนกระทั่งครั้งนี้ รถยนต์คันดังกล่าวซึ่งตรวจสอบแล้วมีการเดินทางเข้าออกทางด่านหนองคายบ่อยครั้ง จากการสอบถามเบื้องต้น ทั้งสองคนให้การว่า ทางบ้านทำธุรกิจแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ อ้างว่านำเงิน 2.5 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ มาแลกเงินบาทตามธนาคารต่าง ๆ ใน จ.หนองคาย เช่น กรุงเทพ, กรุงไทย, กสิกรไทย, ทหารไทย เพื่อนำกลับประเทศลาว ทั้งนี้ตามประกาศของกระทรวงการคลัง ระบุไว้ว่า กรณีที่บุคคลใดส่งหรือนำเงินตรา เงินตราต่างประเทศ หรือตราสารเปลี่ยนมือซึ่งเมื่อรวมกันแล้วมีมูลค่าเกินกว่า 450,000 บาท หรือเทียบเท่าออกไปนอกหรือเข้ามาในประเทศ ต้องแจ้งรายการเกี่ยวกับเงินตรากับพนักงานเจ้าหน้าที่ศุลกากรในขณะที่ผ่านศุลกากรทุกแห่ง ดังนั้นการกระทำของสองพี่น้องชาวลาวนี้เข้าข่ายลักลอบนำเงินออกนอกประเทศ การอ้างว่าทำธุรกิจแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ไม่ปักใจเชื่อ จะมีการตรวจสอบอย่างละเอียดว่าเกี่ยวข้องกับการกระทำธุรกิจผิดกฎหมายด้านอื่นหรือไม่ รวมถึงทำการตรวจยึดธนบัตรทั้งหมด ยึดรถยนต์ของกลางไว้ก่อน จากนั้นดำเนินคดีตามระเบียบของศุลกากร ซึ่งผู้กระทำผิดสามารถระงับคดีในชั้นศุลกากรได้ แต่จะถูกขึ้นแบล็คลิสต์ห้ามเข้าประเทศไทยอีก.