สรุปผลสอบ "น้องเมย" เสียชีวิต เหตุหัวใจล้มเหลว เผย มีอาการ "ไฮเปอร์เวนติเลชั่น" และภาวะเครียดสูง รับถูกซ่อม 2 วันติด จนฟุบ เชื่อไม่ใช่สาเหตุ แจงรอยฟกช้ำ เกิดจากตกบันได มั่นใจ ธำรงวินัยมีระบบที่ดี เมื่อเวลา 11.00 น.ที่กองบัญชากานกองทัพไทย พล.อ.อ.ชวรัตน์ มารุ่งเรือง รองเสนาธิการทหารกองบัญชาการกองทัพไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง การเสียชีวิตนักเรียนเตรียมทหารภัคพงศ์ ตัญกาญจน์ พร้อมด้วยคณะกรรมการ ประกอบ พล.ท.ศิราวุณิ วงศ์ขันดี พล.อ.ท.วีรพงษ์ นิลจินดา พล.ท.พีรพงษ์ เมืองบุญชู พล.ท.ชนินทร์ โตเลี้ยง และ พ.อ.ที่รัก สร้อยนาค กรรมหารและเลขานุการ ร่วมกันแถลงข่าว พล.อ.อ.ชวรัตน์ กล่าวว่า จากการตรวจสอบของคณะกรรมการทั้ง 11 นาย ได้พบข้อเท็จจริงการเสียชีวิตของนักเรียนเตรียมทหาร ภัคพงศ์ ตัญกาญจน์ เมื่อวันที่ 17 ต.ค.ที่ผ่านมา โดยใช้เวลา 14 วัน ค้นหาข้อมูลทั้งหมดรอบด้าน ก่อนเสียชีวิต โดยได้เชิญผู้ที่เกี่ยวข้อง ในเหตุการณ์แต่ละห้วงเวลาจำนวน 42 คน มาให้ข้อมูล โดยแบ่งเป็น 4 กลุ่มคือกลุ่มที่ 1 เป็นนักเรียนเตรียมทหาร จำนวน 22 คน นักเรียนเตรียมทหารปีที่ 3 จำนวน 13 คน และนักเรียนเตรียมทหารชั้นปีที่ 1จำนวน 9 คน พล.อ.อ.ชวรัตน์ กล่าวว่า กลุ่มที่ 2 ประกอบด้วยแพทย์ของกองแพทย์ทหารโรงเรียนเตรียมทหารจำนวน 3 คน แพทย์โรงพยาบาลโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า 1 คน และแพทย์จากศูนย์อำนวยการแพทย์พระมงกุฎเกล้า 1 คน กลุ่มที่ 3 เป็นนายทหาร ปกครอง 4 คนอาจารย์ประจำชั้น 1 คุณครูพละศึกษา 2 คน และกลุ่มที่ 4 เป็นผู้ช่วยนายทหารยกกระบัตร 1 คน พลขับ รถพยาบาล 2 คน และเวรประจำวันของกองแพทย์ 3 คนพนักงานบริการและเจ้าหน้าที่โรงเรียน 2 คน พล.อ.อ.ชวรัตน์ กล่าวว่า คณะกรรมการได้สอบถามข้อเท็จจริง ในทุกเหตุการณ์อย่างละเอียดรอบคอบ และเป็นไปด้วยความสมัครใจของผู้มาให้ข้อมูล และเป็นไปตามระเบียบของทางราชการ ที่กำหนดไว้ ซึ่งสรุปผลได้ ดังต่อไปนี้ในเหตุการณ์ที่ 1 เหตุการณ์ที่นักเรียนเตรียมทหารภัคพงศ์เสียชีวิต 17 ตุลาคม จากการสอบสวนพบว่าในวันดังกล่าวนักเรียนเตรียมทหารพักกับโรงพักรักษาตัวอยู่ที่กองแพทย์ โดยมีเพื่อนนักเรียนเตรียมทหารชั้นปีที่ 1 พักฟื้นอยู่ในห้อง จำนวน 7 คน พล.อ.อ.ชวรัตน์ กล่าวว่า และในช่วงเช้าเวลาประมาณ 9.15 นาที นักเรียนเตรียมทหารภัคพงศ์ ได้เดินออกจากกองแพทย์ไปกับเพื่อน นักเรียนชั้นปีที่ 1 เพื่อไปเอาของใช้ส่วนตัว ที่อาคารกองพันที่ 2 ซึ่งกล้องวงจรปิด จับภาพนักเรียนเตรียมทหารภคพงษ์แต่งกายโดยชุดฝึกมือถือตะกร้าผ้า ซึ่งในวันดังกล่าวเป็นการฝึกของนักเรียนเตรียมทหารชั้นปีที่ 1 ช่วงขากลับนักเรียนเตรียมทหารภคพงษ์กลับมาเพียงคนเดียว พล.อ.อ.ชวรัตน์ กล่าวว่า เวลา 10.23 น. มีนักเรียนเตรียมทหารเดินจากกองแพทย์หลังได้รับการตรวจรักษาพบเห็นนักเรียนเตรียมทหารภคพงษ์วิ่งช้าๆ ส่วนทางกลับมาทางการแพทย์ และเกิดอาการเป็นลมล้มลง มีอาการคล้าย ไฮเปอร์เวนติเลชั่น คือมีอาการเกร็ง ชา หายใจถี่เร็ว จนกระทั่งอ๊อกซิเจน ในระดับปกติของเลือด เพิ่มมากยิ่งขึ้น สามารถหมดสติ สูญเสียการรู้สึกได้ และมีลักษณะมือจีบ เด็กจะเรียกว่า โรคมือจีบ และในระยะหลังพบบ่อยในนักเรียนเตรียมทหาร ทั้งนี้มีนักเรียนเตรียมทหารชั้นปีที่ 1 ได้ทราบอาการดีเพราะตัวเองก็เคยเป็นจึงรีบไปตามเจ้าหน้าที่จากกองแพทย์มาพานักเรียนเตรียมทหารภัคพงศ์ไปรักษาพยาบาลที่กองแพทย์จนอาการกลับเป็นปกติ และรักษาตัวอยู่ที่กองแพทย์อย่างต่อเนื่อง พล.อ.อ.ชวรัตน์ กล่าวว่า เวลา 12.00 น. ได้สอบถามเพื่อนที่ป่วยด้วยกัน ระบุว่านักเรียนเตรียมทหารภัคพงศ์ไปรับประทานอาหารที่ห้องอาหารกองแพทย์ตามปกติ และเวลา 12.42 น. ผู้บังคับกองพันที่ 2 ขึ้นมาเยี่ยมและสอบถามอาการ และได้ใช้โทรศัพท์ส่วนตัว ให้กับนักเรียนเตรียมทหารพัฒพงษ์ได้พูดคุยกับมารดา เวลา 15.13 น. นักเรียนภคพงษ์ได้มีการใช้โทรศัพท์สาธารณะพูดคุยกับผู้ปกครอง และจากภาพวงจรปิดพบว่าเมื่อโทรศัพท์เสร็จขณะเดินกลับที่พัก มีการใช้มือขวากุมที่หน้าอกด้านซ้าย ก่อนจะเดินกลับห้องไปร่วมกับเพื่อนที่ป่วย ในกรณีนี้คณะกรรมการมีข้อสังเกตว่า ในช่วงบ่ายวันนั้น นักเรียนเตรียมทหารภัคพงศ์ มีลักษณะการเดินการใช้มือขวากุมที่หน้าอกด้านซ้ายบ่อยครั้ง พล.อ.อ.ชวรัตน์ กล่าวว่า และนักเรียนเตรียมทหารภัคพงศ์ได้มีการพูดคุยปรับทุกข์กับเพื่อนสนิท 2 คน ซึ่งให้การว่า นักเรียนเตรียมทหารภัคพงศ์ มีอาการเครียดสูง จากนั้นเวลา 15.39 น. ได้มีนายทหารที่เป็นเจ้าหน้าที่กองแพทย์ที่มีความคุ้นเคยกับนักเรียนเตรียมทหารภัคพงศ์และผู้ปกครอง เข้ามาในห้องพักฟื้นเพื่อนำโทรศัพท์มือถือมาให้นักเรียนเตรียมทหารภคพงศ์ ได้ติดต่อกับบิดา เนื่องจากบิดาได้โทรมาหาและมีการไหว้วานให้นำโทรศัพท์มาให้นักเรียนเตรียมทหารภัคพงศ์ พล.อ.อ.ชวรัตน์ กล่าวว่า ทั้งนี้ ก่อนรับโทรศัพท์นักเรียนเตรียมทหารภัคพงศ์มีอาการเซและล้มลง ในลักษณะการเกิดไฮเปอร์เวนติเลชั่น ที่มีอาการรุนแรงเกร็งหายใจแรง และถี่ รวมถึงการพ่นน้ำลายออกมาเป็นระยะต่อหน้าเพื่อนร่วมห้องจำนวน 4 คน นายทหารคนดังกล่าวก็เห็นเหตุการณ์ และได้มีการตามแพทย์ให้การรักษาและแพทย์เห็นว่าอาการไม่ดีขึ้นจึงสั่งให้นำส่งโรงพยาบาลโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้าในเวลา พล.อ.อ.ชวรัตน์ กล่าวว่า เวลา 16.24 น. โดยแพทย์ได้ทำการรักษาด้วยการทำ CPR แต่อาการไม่ดีขึ้น และในขณะทำ CPR ผู้ช่วยผู้อำนวยการกองแพทย์ได้โทรแจ้งผู้ปกครองให้ทราบและผู้ปกครองได้ร้องขอให้ช่วยทำ CPR ต่อเนื่องจนกว่าจะเดินทางมาถึง จึงทำให้เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้าได้ทำ CPR อย่างต่อเนื่องตามคำร้องขอ และผู้ปกครองให้เดินทางมาถึงในเวลา 19.30 น. รวมเวลาการทำ CPR จำนวน 4 ชั่วโมง ใช้เจ้าหน้าที่หมุนเวียนเกือบ 20 คน พล.อ.อ.ชวรัตน์ กล่าวว่า และเวลา 20.20 น. ได้ยุติการทำ CPR และลงความเห็นนักเรียนเตรียมทหารภัคพงศ์เสียชีวิต และได้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายโดยการแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจและผู้ปกครองได้ให้ความเห็นชอบในการชันสูตรศพโดยมอบให้เจ้าหน้าที่โรงเรียนเตรียมทหารนำส่งสถาบันพยาธิวิทยาศูนย์อำนวยการแพทย์พระมงกุฎเกล้าในเวลา 01.00 ของวันที่ 18 ต.ค.จากนั้นเป็นการดำเนินการตามขั้นตอนทางการแพทย์ในการชันสูตรหาสาเหตุการตายที่แท้จริง "ทั้งนี้จากการสอบสวนข้อเท็จจริงต่างๆ ไม่ปรากฏว่าตลอดทั้งวันของวันที่ 17 ตุลาคม นักเรียนเตรียมทหารภัคพงศ์ไม่ได้ถูกผู้หนึ่งผู้ใดสั่งลงโทษหรือถูกทำร้ายร่างกาย โดยพยานได้ให้ข้อมูลสอดคล้องกันว่าตลอดทั้งวันยกเว้นช่วงที่เป็นลมในบริเวณทางขึ้นกองแพทย์โดยเฉพาะในช่วงบ่ายของวันดังกล่าวนักเรียนเตรียมทหารภัคพงศ์สามารถพูดเดินตามปกติเว้นแต่มีอาการเครียดสูงภายหลังจากมีการโทรศัพท์พูดคุยกับผู้ปกครองและได้หมดสติไปเองต่อหน้าพยาน ล้วนเป็นนักเรียนเตรียมทหารชั้นปีที่ 1 รุ่นเดียวกันจึงเชื่อได้ว่าในวันดังกล่าวไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดลงโทษ หรือทำร้ายร่างกายนักเรียนเตรียมทหารภคพงศ์ จนเป็นเหตุให้เสียชีวิต"พล.อ.อ.ชวรัตน์ กล่าว