เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 25 มี.ค.65 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ ไปในการพระราชทานปริญญาบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษา จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ประจำปีการศึกษา 2563 ณ อาคารจักรพันธ์เพ็ญศิริ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน เป็นวันสุดท้าย งานพิธีพระราชทานปริญญาบัตร ประจำปีการศึกษา 2563 ของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จัดขึ้นรวม 5 วัน ตั้งแต่ วันที่ 21–25 มีนาคม 2565 มีจำนวนผู้สำเร็จการศึกษา ประจำปีการศึกษา 2563 จำนวนทั้งสิ้น 14,535 คน ประกอบด้วยดุษฎีบัณฑิต 183 คน มหาบัณฑิต 1,621 คน และบัณฑิต 12,731 คน โดยในวันนี้ มีผู้ทรงคุณวุฒิผู้ที่รู้ยิ่งในศาสตร์การเกษตร ได้รับการยกย่องเชิดชู เป็น “เกษตราภิชาน” ประจำปี พ.ศ. 2565 เข้ารับพระราชทานเกียรติบัตรและเครื่องหมายเกษตราภิชาน จำนวน 1 คน ได้แก่ ศาสตราจารย์เกียรติคุณเกษม จันทร์แก้ว องคมนตรี คณะสิ่งแวดล้อม ผู้ทรงคุณวุฒิที่มีผลงานดีเด่น เข้ารับพระราชทานปริญญากิตติมศักดิ์ จำนวน 2 คน ได้แก่ รองศาสตราจารย์ไพบูลย์ ประพฤติธรรม ปริญญาปรัชญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ (วิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม) คณะสิ่งแวดล้อม นายเดชาภิวัฒน์ ณ สงขลา ปริญญาปรัชญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ (บริหารธุรกิจ) คณะบริหารธุรกิจ ผู้ที่ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ศาสตราจารย์เกียรติคุณ เข้ารับพระราชทานเกียรติบัตร จำนวน 1 คนได้แก่ ศาสตราจารย์เกษม จันทร์แก้ว องคมนตรี สาขาวิชาวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม คณะสิ่งแวดล้อม พร้อมกับพระราชทานปริญญาบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษา ในระดับปริญญาเอก โท ตรี จำนวน 1,450 คน จากคณะอุตสาหกรรมเกษตร คณะสัตวแพทยศาสตร์ คณะสิ่งแวดล้อม คณะบริหารธุรกิจ คณะวิศวกรรมศาสตร์ วิทยาลัยการชลประทาน และ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี นพรัตน์วชิระ ในการนี้ สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี พระราชทานพระโอวาท มีใจความสำคัญ ดังนี้ เมื่อสี่วันที่ผ่านมา ข้าพเจ้าได้พูดกับบัณฑิตในที่ประชุมนี้ว่า ผู้สำเร็จการศึกษาแล้วควรจะต้องรู้จักนำความรู้มาปรับใช้ ประสานสัมพันธ์กับทุกคนทุกฝ่าย และพัฒนาตนพัฒนางานอยู่เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ซึ่งทุกคนจำเป็นต้องปรับตัวเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลง แต่ละคนจึงต้องศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมอยู่ตลอดเวลา พร้อมทั้งฝึกฝนอบรมตนให้มีคุณธรรมความสุจริต มีวิจารณญาณที่ถูกต้อง มีความกตัญญูตระหนักรู้ในความดี จะได้สร้างสรรค์ความเจริญมั่นคงในชีวิตและกิจการงานได้ สมดังที่มุ่งหมาย ในวันนี้ ใคร่จะกล่าวเพิ่มเติมแก่ท่านทั้งหลายว่า นอกจากบัณฑิตจะต้องสร้างความเจริญมั่นคงให้แก่ตนเองแล้ว ทุกคนยังมีหน้าที่ที่จะต้องพัฒนาชาติบ้านเมือง ให้ก้าวหน้ารุ่งเรืองยิ่งๆ ขึ้นด้วย หากแต่ละคนจะได้ตระหนักถึงหน้าที่ของตน แล้วร่วมกันนำความรู้ความสามารถและคุณสมบัติทั้งปวงที่มีอยู่ ไปใช้สร้างสรรรค์ประโยขน์ให้แก่ส่วนรวมและประเทศชาติ ด้วยความสมัครสมานสามัคคี และความเมตตาปรารถนาดีต่อกัน สังคมและชาติบ้านเมืองของเราก็จะสามารถผ่านพ้นอุปสรรคปัญหา และพัฒนาก้าวหน้ายิ่งๆขึ้นไป ให้ทุกคนทุกฝ่ายได้อยู่ได้อาศัยและประกอบอาชีพการงานสร้างตัวสร้างชีวิตได้ด้วยความร่มเย็นเป็นผาสุก