วันที่ 4 พ.ค.65 เครือข่ายคณาจารย์และบุคลากรรามคำแหง ออกแถลงการณ์ เรียกร้องให้กรรมการสภามหาวิทยาลัยรามคำแหง ขอให้ดำเนินการไปตามบทบาทหน้าที่และหยุดก้าวก่ายงานบริหาร?? ระบุว่าข้อความว่า... ปัจจุบันปัญหาการบริหารงานของมหาวิทยาลัยรามคำแหง ปรากฏปัญหาธรรมาภิบาลในการบริหารงานต้องหยุดชะงัก ไม่สามารถขับเคลื่อนพัฒนามหาวิทยาลัยได้อย่างเป็นระบบ ขาดความต่อเนื่องและเกิดความล่าช้าในการบริหารงานที่สำคัญหลายกรณี ส่งผลให้การดำเนินการเพื่อพัฒนามหาวิทยาลัยในเรื่องสำคัญต่างๆ ไม่อาจบรรลุผลสำเร็จลงได้ และจากการกระทำของบางกลุ่มที่ใช้ชื่อปลอมไม่ใช่นักศึกษา ไม่มีตัวตนในทะเบียนประวัติและทะเบียนราษฎร์ ที่เอาแต่สร้างข่าวผ่านสื่อและข่าวลือที่บิดเบือนไม่เป็นความจริง สร้างความเอือมระอาให้กับชาวรามคำแหง ทางกลุ่มจึงเห็นว่า มีความจำเป็นที่จะเปิดเผยข้อเท็จจริงให้สาธารณชนได้ทราบ โดยไม่ปล่อยให้สร้างกระแสแต่ฝ่ายเดียว ต่อไป ในตอนที่ 1 นี้ มีประเด็นที่สำคัญ คือ ภายหลังที่ศาลปกครองกลางได้ให้ความคุ้มครอง อธิการบดีสืบพงษ์ ปราบใหญ่ ได้กลับมาปฏิบัติหน้าที่เหมือนเดิม ทำให้ชาวรามคำแหงมั่นใจในกระบวนการยุติธรรมของศาล และขอขอบคุณศาลเป็นอย่างยิ่ง ที่มอบความยุติธรรมให้กับรามคำแหง เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง เห็นได้ว่า สถานการณ์ในมหาวิทยาลัยรามคำแหงก็กลับมาปกติ มีความสงบ ชาวรามคำแหงมีความรู้สึก มีความสุข เกิดความมั่นคง มีเกียรติภูมิ และการมีส่วนร่วมของคณาจารย์ ของบุคลากร มีมากขึ้น อีกทั้งจะเป็นบรรทัดฐานให้กับสถาบันการศึกษาต่าง ๆ ว่า ในการใช้อำนาจของสภามหาวิทยาลัยมีมติถอดถอนอธิการบดีโดยไม่มีเหตุผล ลุแก่อำนาจ จะไม่สามารถทำได้ และให้สถาบันการศึกษาต่าง ๆ ได้เห็นถึงเครือข่ายเชื่อมโยง เพื่อเป็นตัวอย่างที่เกิดขึ้น ไปป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในสถาบันของตัวเอง ประเด็นที่น่าสนใจ คือ หลังจากอธิการบดีกลับมาปฎิบัติหน้าที่ตั้งแต่ศาลให้ความคุ้มครองจนถึงปัจจุบัน ได้เกิดเหตุการณ์ที่ทางสภามหาวิทยาลัย ได้พยายามเคลื่อนไหวดำเนินการที่จะหาช่องเพื่อต้องการให้อธิการบดีหลุดจากตำแหน่งอีกครั้ง?? โดยไม่คำนึงถึงปัญหาและความรู้สึกของชาวรามคำแหง ที่ต้องการให้อธิการบดีเข้ามาขับเคลื่อนพัฒนามหาวิทยาลัยตามนโยบายที่ต้องการการเปลี่ยนแปลงไปสู่ smart university ที่ตั้งไว้ ข้อเท็จจริง พบว่า จากวาระการประชุมสภามหาวิทยาลัยแต่ละครั้ง สภามหาวิทยาลัยจะพยายามให้ความสำคัญกับเรืองที่จะตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริง หาข้ออ้างหรือหาเรื่องที่จะเอาผิดอธิการบดี เพื่อให้หลุดจากตำแหน่งอีกครั้ง ซึ่งแต่ละเรื่องเป็นเรื่องเดิมๆ การกระทำหน้าที่ของสภามหาวิทยาลัย ดังกล่าว เห็นได้ว่า ไม่ได้เกี่ยวข้องกับบทบาทหน้าที่ ตามที่กฎหมายกำหนด เพราะในการประชุมแต่ละครั้งจะใช้เวลาหรือให้ความสำคัญในการหาเรื่องที่จะปลดอธิการบดีเป็นส่วนใหญ่ ไม่ได้เห็นถึงประโยชน์ของมหาวิทยาลัยและรับผิดชอบในสิ่งที่กระทำ จนเกิดความเสียหาย ทั้งชื่อเสียงและการพัฒนา ทางกลุ่มขอให้สภามหาวิทยาลัยหยุดพฤติกรรมดังกล่าว ไม่ควรใช้สถานที่นี้แสวงหาผลประโยชน์ทางอำนาจและเข้ามาตักตวงผลประโยชน์ในมหาวิทยาลัยรามคำแหง และขอให้ดำเนินการไปตามบทบาทหน้าที่ ตามพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยรามคําแหง พ.ศ.2541 มาตรา 18 สภามหาวิทยาลัยมีอำนาจและหน้าที่ควบคุมดูแลกิจการทั่วไปของมหาวิทยาลัยและโดยเฉพาะให้มีอำนาจและหน้าที่ ทั้ง 15 ข้อ ต่อไป ทั้งนี้ในตอนท้าย "ทางกลุ่ม จึงอยากเรียกร้องให้สภามหาวิทยาลัย ล้มเลิกหยุดแทรกแซงงานทางด้านการบริหาร และขอให้ดำเนินการไปตามบทบาทหน้าที่ ตามที่กฎหมายกำหนด"