สำหรับในเวทีโลกยุคปัจจุบันที่ประเทศมหาอำนาจไม่ได้มาจากกองกำลังสู้รบ แต่มาจากศักยภาพทางเศรษฐกิจผนวกกับการสร้างเครือข่าย บนพื้นฐานอันแข็งแกร่งของการมีองค์ความรู้อันเป็นหัวใจของการพัฒนาสู่ประเทศอุตสาหกรรม ซึ่งองค์ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ถือเป็นต้นทุนที่เป็น "Hardpower" ที่สำคัญในการพัฒนาประเทศ และจะยิ่งทรงพลานุภาพหากได้สอดประสานด้วยพลัง "Softpower" ด้านศิลปะ-วัฒนธรรม-ดนตรีที่จะช่วยส่งเสริมบรรยากาศการลงทุน ทั้งหมดนี้ถือเป็นภารกิจเร่งด่วนของสถาบันอุดมศึกษาในการสร้าง "ทุนมนุษย์" หรือผลิตบัณฑิตเพื่อสนองนโยบายชาติดังกล่าว ศาสตราจารย์ นายแพทย์บรรจง มไหสวริยะ อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล ได้กล่าวถึงบทบาทของมหาวิทยาลัยมหิดลในฐานะสถาบันอุดมศึกษาในระดับแนวหน้าของประเทศที่มีส่วนสำคัญในการพัฒนาประเทศเพื่อให้เป็นที่ประจักษ์ในเวทีโลก จากผลงานที่ผ่านมาล่าสุดที่มหาวิทยาลัยมหิดลสามารถก้าวสู่การเป็นมหาวิทยาลัยอันดับโลกในอันดับที่ดีขึ้น โดยในสาขาวิทยาศาสตร์สุขภาพและการแพทย์ (Life Sciences & Medicine) ล่าสุดมหาวิทยาลัยมหิดลสามารถขึ้นไปถึงอันดับที่ 14 ของเอเชีย และอันดับที่ 118 ของโลก สาขาเภสัชกรรมและเภสัชวิทยา (Pharmacy & Pharmacology) สามารถขึ้นไปถึงอันดับที่ 100 ของโลก สาขาพยาบาลศาสตร์ (Nursing) สามารถขึ้นไปถึงอันดับที่ 101 - 150 ของโลก และสาขาศิลปะการแสดง (Performing Arts) ที่มหาวิทยาลัยมหิดลสามารถก้าวขึ้นไปถึงอันดับที่ 47 ของโลกได้อย่างเหนือความคาดหมายในปีนี้ ซึ่ง ศาสตราจารย์ นายแพทย์บรรจง มไหสวริยะ เชื่อมั่นว่า ด้วยพลัง "Hardpower" และ "Softpower" ที่มหาวิทยาลัยมหิดล ได้สร้างสมและผลักดันสู่การเป็นพลังสำคัญในการร่วมพัฒนาประเทศ มาจากบัณฑิตที่มหาวิทยาลัยมหิดลมุ่งสร้างขึ้นเพื่อตอบโจทย์สังคมอย่างแท้จริง และในอีกไม่ช้า สาขาอื่นๆ ของมหาวิทยาลัยมหิดลจะสามารถก้าวขึ้นสู่อันดับมหาวิทยาลัยโลกเพื่อให้ประเทศไทยได้เป็นที่ยอมรับจากผลงานอันเป็นที่ประจักษ์ในเวทีโลกได้อย่างภาคภูมิได้เช่นเดียวกันอย่างแน่นอน ทั้งนี้จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งแรงสนับสนุน และแรงใจจากประชาชนชาวไทยทุกคนร่วมด้วย อย่างไรก็ดี ศาสตราจารย์ นายแพทย์บรรจง กล่าวทิ้งท้ายว่า ไม่ว่าจะด้วย "Hardpower" หรือ "Softpower" มหาวิทยาลัยมหิดลจะพยายามทุ่มเททำทุกอย่างเพื่อให้ปวงชนชาวไทยได้มั่นใจว่าบัณฑิตของมหาวิทยาลัยมหิดลทุกคนจะสำเร็จการศึกษาออกไปเป็น "ทุนมนุษย์" ซึ่งจะกลายเป็น "พลเมืองโลก" (Global Citizen) ที่มีคุณภาพ และมุ่งทำคุณประโยชน์เพื่อตอบแทนสังคมด้วยในขณะเดียวกันต่อไป ด้าน ดร.ณรงค์ ปรางค์เจริญ คณบดีวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้กล่าวถึงเหตุที่วิทยาลัยฯ สามารถก้าวขึ้นสู่อันดับที่ 47 ของโลกได้เหนือความหมายจากที่ตนได้เคยประกาศไว้ว่าจะทำให้ได้อันดับ Top50 ของโลกภายในระยะเวลา 3 ปี เมื่อปีที่ผ่านมานั้น เกิดจากความมุ่งมั่นของวิทยาลัยฯ ที่มุ่งพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้งในเรื่องของคุณภาพการศึกษา ซึ่งขับเคลื่อนด้วยบุคลากรคุณภาพที่มีชื่อเสียงและมีผลงานเป็นที่ยอมรับในระดับโลก ทั้งนี้ ไม่ว่าจะด้วยความพยายามในการมุ่งพัฒนาหลักสูตรดนตรีจนทุกหลักสูตรของวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล สามารถผ่านการรับรองมาตรฐานยุโรป "MusiQuE" หรือการจัดแสดงผลงานทางดนตรีที่มีคุณภาพและได้มาตรฐานระดับโลกอย่างต่อเนื่อง ส่วน ดร.ณรงค์ ปรางค์เจริญ กล่าวให้ความเชื่อมั่นว่า ก้าวต่อไปของ วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล คงไม่หยุดอยู่เพียงอันดับ Top50 แต่จะไปให้ถึง Top25 ของโลก โดยหวังให้ดนตรีเป็นพลัง Softpower ที่จะช่วยพัฒนาสุขภาพกายและใจของประชาชนชาวไทยให้พร้อมก้าวฝ่าฟันสู่เวทีโลกไปด้วยกัน และในเดือนกรกฎาคม 2565 ที่จะถึงนี้ จะได้มีการร่วมบูรณาการถอดบทเรียนและระดมสมองครั้งใหญ่ระหว่าง วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล และเครือข่ายในระดับโลก เพื่อร่วมมองไปถึงจุดหมายข้างหน้าร่วมกัน ผ่านการร่วมวิเคราะห์ปัญหาและอุปสรรคที่ผ่านมา การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ตลอดจนการวางแผนทิศทางการพัฒนา Softpower ร่วมกันต่อไป