คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ / ดร.วิวัฒน์ เศรษฐช่วย

การช่วงชิงอำนาจในรัฐสภาของสหรัฐฯ โดยมีจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมด 435 คน และวุฒิสมาชิกอีก 35 คนจาก 100 ที่นั่งแข่งขันกันอย่างเข้มข้น

โดยการแข่งขันในครั้งนี้ปรากฏว่ามีการทุ่มเม็ดเงินของบรรดานักการเมืองทั้งสองพรรค ซึ่งได้สร้างเป็นประวัติศาสตร์ทางการเมืองของสหรัฐฯเอาไว้อีกครั้งหนึ่งว่า เป็นการเลือกตั้งกลางสมัยที่มีราคาแพงมากที่สุดยอดเงินมากถึง 16.7 พันล้านดอลลาร์

โดยเฉพาะการแข่งขันเลือกตั้งในตำแหน่งวุฒิสมาชิก ซึ่งแข่งกัน 35 ที่นั่งเพียงอย่างเดียว ก็มีการใช้จ่ายเม็ดเงินไปมากกว่าหนึ่งพันล้านดอลลาร์เลยทีเดียว!!!

สำหรับการวิพากษ์วิจารณ์โจมตีสาดโคลนใส่กันระหว่างนักการเมืองในการเลือกตั้งกลางเทอมนี้ นับว่าแสนสกปรกที่สุดมากกว่าในอดีตที่ผ่านๆมา

สำหรับในค่ายพรรคเดโมแครตปรากฏให้เห็นถึงการรวมตัวจับมือร่วมกันระหว่าง “อดีตประธานาธิบดีบิล คลินตัน” และ “อดีตประธานาธิบดีบารัก โอบามา” ที่ทั้งคู่ต่างช่วยกันวิ่งรอกหาเสียงเลือกตั้งให้กับนักการเมืองในพรรคเดโมแครตอย่างแข็งขัน แต่ก็ยังมีนักการเมืองบางคนของพรรคเดโมแครตที่ลงเลือกตั้งในครั้งนี้พยายามหลีกเลี่ยงไม่เชิญ “ประธานาธิบดีโจ ไบเดน” ไปช่วยหาเสียง เพราะพวกเขาอาจจะเกรงว่าจะไปฉุดทำให้คะแนนของตนเองลดน้อยถอยลงไป เนื่องจากขณะนี้คะแนนนิยมของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ต่ำลงเหลือแค่เพียง 45% เท่านั้น!!!

และการเลือกตั้งกลางเทอมในครั้งนี้ดูเหมือนว่าค่ายพรรครีพับลิกันจะเลือกส่งแต่บรรดาดารานักการเมืองดาวรุ่งที่กำลังเป็นที่นิยมชื่นชอบอาทิเช่น “นิกกี้ เฮลลี่” ตัวเก็งในตำแหน่งรองประธานาธิบดีของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โดยเธอเริ่มต้นชีวิตการเมืองจากศูนย์ ที่ได้ติดตามพ่อแม่เดินทางอพยพมาจากอินเดีย จนสามารถไขว้คว้าไต่เต้าขึ้นสู่ตำแหน่งผู้ว่าฯรัฐเซ้าท์แคโรไลนา แถมอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ยังแต่งตั้งให้เธอเข้าไปดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตสหรัฐฯประจำสหประชาชาติอีกด้วย

อนึ่งการเลือกตั้งกลางเทอมในครั้งนี้เอกอัครราชทูตนิกกี้ เฮลลี่ ก็ถูกส่งตัวไปช่วยหาเสียงให้กับ “เฮอร์เชล วอล์กเกอร์” อดีตดาราอเมริกันฟุตบอลผิวสีที่ รัฐจอร์เจีย

โดยประธานาธิบดีทรัมป์ได้วางตัวให้เขาเข้าแข่งขันกับ “วุฒิสมาชิกราเฟล วอร์น็อก” แห่งพรรคเดโมแครตคู่แข่ง ซึ่งวุฒิสมาชิกวอร์น็อกผู้นี้ก็เป็นนักการเมืองผิวสีด้วยเช่นกัน

ทั้งนี้จะเห็นได้อย่างค่อนข้างเด่นชัดว่า พรรครีพับลิกันมีความมุ่งมั่นต้องการที่จะเข้าไปคุมเสียงข้างมากในวุฒิสภา โดยขณะนี้จำนวนของวุฒิสมาชิกของทั้งสองพรรคมีอยู่เท่าๆกันที่ 50:50 เสียง และหากว่าดาราอเมริกันฟุตบอลวอล์คเกอร์สามารถเอาชนะวุฒิสมาชิกวอร์น็อกได้ ก็จะเป็นโอกาสที่พรรครีพับลิกันคู่แข่งเข้าไปคุมเสียงข้างมากเหนือพรรคเดโมแครต จึงมีผลทำให้การแข่งขันเลือกตั้งตำแหน่งวุฒิสมาชิกในครั้งนี้กลายเป็นจุดสนใจมากที่สุดและมีการทุ่มเม็ดเงินมากที่สุดอีกด้วย

จึงไม่แปลกแต่อย่างใดที่พรรครีพับลิกันจะพยายามทำทุกวิถีทางไม่ว่าจะใช่เล่ห์เหลี่ยมและใช้อุบายสีเทาๆเพื่อให้วอร์คเกอร์ดาราอเมริกันฟุตบอลได้รับเลือก ที่นอกจากจะทุ่มเม็ดเงินก้อนโตมหาศาลแล้ว ยังแถมด้วยการเลือกสรรให้เอกอัครราชทูตนิกกี้ เฮลลี่ ไปช่วยหาเสียงให้เขาอีกด้วย จึงทำให้คะแนนนิยมระหว่างวุฒิสมาชิกวอร์น็อคกับดาราฟุตบอลเฮอร์เชล วอล์กเกอร์สูสีคู่คี่ไม่ห่างกัน จนเป็นจุดสนใจทำให้คนอเมริกันเฝ้าจับตาติดตามคู่แข่งขันคู่นี้มากที่สุดอีกด้วย

แต่กลับปรากฏว่าการที่ตัดสินใจให้เอกอัครราชทูตนิกกี้ เฮลลี่ เข้าไปช่วยหาเสียงแทนที่จะเป็นผลดีต่อดาราอเมริกันฟุตบอล กลับหมุนตาลปัตร เพราะทูตนิกกี้ เฮลลี่ ดันพลั้งปากกล่าวว่า วุฒิสมาชิกราเฟล วอร์น็อก ควรจะถูกส่งกลับประเทศ โดยมิได้ระบุว่าเป็นประเทศใด ทั้งๆที่เอกอัครราชทูตนิกกี้ เฮลลี่ก็มีเชื้อสายเป็นคนต่างด้าวด้วยเช่นกัน!!!

และตั้งแต่วันอาทิตย์ที่ผ่านมาประเด็นนี้ได้กลายเป็นข่าวอื้อฉาวดังเกรียวกราวพาดหัวข่าวของสื่อแทบทุกฉบับ

ส่วนข่าวเกรียวกราวที่ถือเป็นจุดบอดของดาราอเมริกันฟุตบอลเฮอร์เชล วอล์กเกอร์ ก็คือข่าวฉาวเหม็นคาวโฉ่เรื่องชู้สาว โดยเขาถูกกล่าวหาจากผู้หญิงสองคนว่า พวกเธอมีเพศสัมพันธ์อันยาวนานกับดาราอเมริกันฟุตบอลวอล์คเกอร์จนตั้งท้อง โดยวอล์กเกอร์พยายามยัดเยียดเงินผลักดันให้ทั้งสองสาวทำแท้งกำจัดมารหัวขนออกไป และถึงแม้ว่าจะมีหลักฐานผูกมัดอย่างแน่นหนาก็ตาม แต่ดาราอเมริกันฟุตบอลก็ปฏิเสธเสียงแข็งไม่ยอมรับมาโดยตลอด

จากการนับคะแนนล่าสุดตอนเที่ยงคืนของวันที่ 8 พฤศจิกายนนี้ปรากฏว่า ทั้งวุฒิสมาชิกวอร์น็อก และนักอเมริกันฟุตบอลวอล์กเกอร์ อาจจะต้องมีการเลือกตั้งกันใหม่อีกครั้งในเดือนธันวาคมนี้ สืบเนื่องมาจากทั้งคู่ไม่ได้รับคะแนนเกิน 50%

และถึงแม้ว่าผลการเลือกตั้งกลางเทอมยังไม่แล้วเสร็จก็ตาม แต่กลับมีข่าวแพร่สะพัดออกมาว่า อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ได้วางแผนที่จะประกาศในวันที่ 15 พฤศจิกายน 2022 นี้ว่าเขาจะลงแข่งขันเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯในปี 2024 โดยไม่แยแสสนใจไยดีต่อคดีอาญาหลายๆคดี

และยังมีข่าวปรากฏออกมาก่อนหน้าวันเลือกตั้งไม่กี่วันว่า ผู้นำของพรรครีพับลิกันทั้งในวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎรต่างเตรียมพร้อมที่จะเข้าปกป้องอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์อย่างแข็งขัน นับเป็นสัญญาณความวุ่นวายในสหรัฐฯในอนาคตภายภาคหน้า!!!

สำหรับการพ่ายแพ้อย่างยับเยินของพรรคเดโมแครตในสภาผู้แทนราษฎรครั้งนี้ มิใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด สืบเนื่องมาจากคนอเมริกันถึง 81% ไม่พึงพอใจและเบื่อหน่ายต่อการบริหารจัดการด้านเศรษฐกิจอันแสนล่าช้าของประธานาธิบดีโจ ไบเดน นั่นเอง

และในเมื่อพรรครีพับลิกันสามารถเข้าไปนั่งคุมเสียงข้างมากในสภาผู้แทนฯ เป็นที่แน่นอนว่าย่อมจะส่งผลกระทบกับสงครามยูเครนทั้งทางตรงและทางอ้อม โดย“ส.ส.เควิน แม็คคาธี” ที่จะได้รับตำแหน่งประธานสภาคนใหม่ออกมากล่าวแถลงว่า เขาอาจจะต้องตัดงบประมาณด้านความช่วยเหลือทางการทหารต่อยูเครนลงไปอีกด้วย

กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนั้นชัยชนะของพรรครีพับลิกันที่จะเข้าไปคุมเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร แถมด้วยความไม่แน่นอนว่าพรรคเดโมแครตจะสามารถเข้าไปคุมเสียงข้างมากในวุฒิสภาได้หรือไม่ โดยเรื่องราวเหล่านี้อาจจะสร้างความยากเย็นจนทำให้หนทางในการบริหารประเทศของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ส่อเค้ามืดมน ซึ่งเราคงจะทำได้แค่เพียงติดตามดูกันต่อไปเรื่อยๆในสองปีข้างหน้านี้ละครับ