คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ / ดร.วิวัฒน์ เศรษฐช่วย

เมื่อพูดถึงบรรดาสื่อต่างๆทั้งหลายแหล่ที่นำเสนอข่าวการเลือกตั้งของสหรัฐฯ ดูเหมือนว่าจะไม่มีสำนักข่าวใดที่น่าเชื่อถือและมีความแม่นยำเทียบเท่ากับสำนักข่าวเอพี

ทั้งนี้เนื่องจากสำนักข่าวเอพีมีนักข่าวมากกว่า 4,000 คนในพื้นที่การเลือกตั้งทั่วสหรัฐฯทั้ง 50 รัฐ และก่อนหน้าที่สำนักข่าวเอพีจะประกาศผลการเลือกตั้ง สำนักข่าวช่องนี้จะต้องมีความมั่นใจอย่างเต็มร้อยแล้วว่า ผู้ที่ชนะจะได้รับชัยชนะอย่างแน่นอน แม้ว่าคู่แข่งขันจะมีคะแนนตามมาติดๆก็ตาม แต่จะไม่มีทางแซงขึ้นหน้าหรือตามทันต่อคู่แข่งผู้ชนะไปแล้วได้เลย!!!

เช่นเดียวกับผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯเมื่อปีค.ศ. 2020 ที่สำนักข่าวเอพีสามารถประเมินความแม่นยำได้อย่างถูกต้อง 100% ในทุกๆระดับตั้งแต่ตำแหน่งประธานาธิบดี สมาชิกสภาคองเกรส เรื่อยไปจนถึงนักการเมืองระดับท้องถิ่น

อนึ่งเป็นที่ยอมรับกันอย่างทั่วไปว่า สำนักข่าวเอพีมีความแม่นยำ ยุติธรรม และใช้ความถูกต้องเป็นเกณฑ์มาตรฐาน โดยจะศึกษาข้อมูลทำการบ้านอย่างหนักตั้งแต่เริ่มต้นเรื่อยไปตลอด มิใช่เริ่มทำงานแค่เพียงวันเลือกตั้งไม่กี่วันเท่านั้น

สำนักข่าวเอพีได้เริ่มประเมินผลการเลือกตั้งมาแล้วอย่างยาวนานถึง 194 ปีตั้งแต่ปีค.ศ. 1848 เป็นต้นมา!!!

นอกจากนั้นแล้วสิ่งสำคัญที่สุดก็คือ สำนักข่าวเอพีจะต้องมีคำอธิบายให้สาธารณชนได้เข้าใจถึงเหตุผลที่ว่า ผู้ชนะทำอย่างไรถึงได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง

และเนื่องจากสำนักข่าวเอพีได้กลายเป็นสถานที่บ่มเพาะสร้างสรรค์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านการข่าว

ฉะนั้นจึงไม่แปลกแต่อย่างใดที่สามารถจะเรียกศรัทธาต่ออุตสาหกรรมด้านข่าวสาร โดยสำนักข่าวระดับประเทศต่างๆทั่วทุกมุมโลกมักจะดึงเอาผู้เชี่ยวชาญของสำนักข่าวเอพีให้เข้าไปช่วยบริหารจัดการสำนักข่าวของพวกเขาในทุกๆระดับ

และเป็นที่น่าสนใจอีกเช่นกันว่า “จูลี่ เพจ” บรรณาธิการคนปัจจุบันของสำนักข่าวเอพีที่กว่าเธอจะมายืนในจุดนี้ได้ จะต้องผ่านด่านการคัดเลือกเฟ้นหาจากผู้สมัครที่มีคุณสมบัติคล้ายๆกันกับเธอมาแล้วถึงห้าสิบคน!!! 

ทั้งนี้ที่ผ่านมาสำนักข่าวเอพีสร้างผลงานดีเด่นด้านการประเมินผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯในปี 2020 ได้อย่างชัดเจนและแม่นยำแบบเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์  ฉะนั้นจึงไม่แปลกอะไรที่มีผลทำให้อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ไม่สามารถหาหนทางที่จะพลิกผลการเลือกตั้งได้สำเร็จ ทั้งๆที่เขาได้ว่าจ้างทีมทนายความที่มีทั้งความเชี่ยวชาญและช่ำชองที่สุดมาฟ้องร้องว่า “มีการโกงการเลือกตั้ง”ในศาลตามรัฐต่างๆมากถึง 62 คดี รวมทั้งยื่นฟ้องไปยังศาลสูงสุดเพิ่มเติมอีกสองคดี แต่ก็ไม่สามารถพลิกโผการเลือกตั้งได้อยู่ดี!!!

แปลความว่า ที่ผ่านมาอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ไม่สามารถหาหนทางพลิกผลการเลือกตั้งในปี 2000 ได้สำเร็จ  และในการเลือกตั้งกลางเทอมปี 2022 นี้ ปรากฏว่าอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ยังไม่ได้ยื่นฟ้องร้องการเลือกตั้งที่แม้ว่าผลการเลือกตั้งจะออกมาแบบสูสีใกล้เคียงกัน

สำหรับนโยบายชูธงการเลือกตั้งกลางเทอมปี 2022 นี้ปรากฏว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้ออกมาชูธงเกี่ยวกับระบอบประชาธิปไตย ส่วนอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ยังคงหวนกลับไปยกผลการเลือกตั้งเมื่อปี 2000 ในเรื่องที่ว่ามีการคดโกงการเลือกตั้งรวมถึงนักการเมืองที่เขาคัดเลือกเข้ามาเป็นตัวแทนของพรรครีพับลิกันต่างก็งัดเอานโยบายเช่นเดียวกันนี้ออกมาใช้

แทบไม่น่าเชื่อเลยว่าแม้คะแนนนิยมของประธานาธิบดีโจ ไบเดน จะมีแค่เพียง 45% และยังมีฝ่ายที่ไม่พึงพอใจต่อการบริหารประเทศถึง 55% ก็ตาม  แต่กลับปรากฏว่า พรรคเดโมแครตยังสามารถรักษาเสียงข้างมากในวุฒิสภาเอาไว้ได้ โดยผลการเลือกตั้งครั้งล่าสุดในรัฐเนวาดาที่ได้มีการประกาศผลไปแล้วเมื่อวันเสาร์ที่ 12 พฤศจิกายน 2022 นี้ ซึ่งสำนักข่าวเอพีได้ประกาศว่า “วุฒิสมาชิกแคทเธอรีน โคเทซ มาสโต”ได้รับชัยชนะต่อ “อดัม แลกซัลท์”ด้วยคะแนน 48.8% ต่อ 48.1%  โดยวุฒิสมาชิกมาสโตได้รับคะแนนเหนือคู่ต่อสู้เพียง 5,000 คะแนน

ทั้งนี้เมื่อวันศุกร์ที่ 11 พฤศจิกายน 2022 ที่ผ่านมา วุฒิสมาชิกมาสโตยังมีคะแนนน้อยกว่าคู่ต่อสู้ 798 คะแนน แต่กลับปรากฏว่าคะแนนของเธอกลับตีตื้นเหนือคู่ต่อสู้ในวันรุ่งขึ้น ที่คะแนนส่วนใหญ่มาจากเมืองใหญ่ที่สุดของรัฐเนวาดา

อนึ่งเมื่อสำนักข่าวเอพีแน่ใจว่าวุฒิสมาชิกมาสโตกำลังมีคะแนนนำคู่ต่อสู้(แม้จะแค่เพียงหนึ่งเปอร์เซ็นต์ก็ตาม) แต่สำนักข่าวเอพีมั่นใจแล้วว่าคู่ต่อสู้ของเธอไม่สามารถแซงขึ้นหน้าเธอได้ สำนักข่าวเอพีจึงได้ประกาศว่า วุฒิสมาชิก แคทแธอรีน โคเทซ มาสโต คือผู้ชนะการเลือกตั้ง ทำให้สำนักข่าวต่างๆทั่วประเทศต่างแพร่ข่าวตามคำแถลงของสำนักข่าวเอพีกันอย่างต่อเนื่อง!!!

ชัยชนะของวุฒิสมาชิกมาสโตมีผลทำให้พรรคเดโมแครตได้รับคะแนนรวมเหนือพรรครีพับลิกัน 50 ต่อ 49 โดยชัยชนะของเธอถือเป็นคะแนนชี้ขาดที่พรรคเดโมแครตจะเข้าไปคุมเสียงข้างมากในวุฒิสภา อีกทั้งพรรคเดโมแครตยังมีข้อได้เปรียบที่ “รองประธานาธิบดีคามาลา แฮร์ริส” ซึ่งรับหน้าที่เป็นประธานวุฒิสภาและจะเป็นผู้ชี้ขาดในการผ่านร่างกฎหมายต่างๆแบบเบ็ดเสร็จ

วุฒิสมาชิกมาสโต เป็นชาวละตินคนแรกที่ได้รับเลือกตั้งเข้าสู่วุฒิสภาสหรัฐฯ โดยเธอเติบโตในรัฐเนวาดา เริ่มไต่เต้าชีวิตทางแวดวงการเมืองเริ่มตั้งแต่ระดับอัยการสูงสุดของรัฐเนวาดาเรื่อยมา

สำหรับอดัม แลกซัลท์ นักกฎหมายคู่ต่อสู้ของเธอนั้น โดยตระกูลของเขาเป็นผู้มีอิทธิพลสูงในแวดวงการเมืองมาโดยตลอด โดยแลกซัลท์ได้รับการคัดเลือกโดยตรงจากประธานาธิบดีทรัมป์ แต่เนื่องจากเขาชูธงเรื่องมีการโกงการเลือกตั้งเมื่อปี ค.ศ.2000 ซึ่งอาจจะทำให้ชาวเนวาดาเกิดเบื่อหน่ายจึงพากันหันหลังไม่ยอมลงคะแนนเสียงให้แก่เขา

ส่วนการเลือกตั้งที่รัฐจอร์เจียระหว่าง “วุฒิสมาชิกวุฒิสมาชิกราเฟล วอร์น็อค”สังกัดพรรคเดโมแครต กับ “อดีตดาราอเมริกันฟุตบอลเฮอร์เชล วอล์กเกอร์”สังกัดพรรครีพับลิกัน ซึ่งเป็นบุคคลที่ประธานาธิบดีทรัมป์เลือกมา ปรากฏว่า จะต้องมีการเลือกตั้งใหม่อีกครั้งหนึ่ง เพราะคะแนนการแข่งขันของทั้งสองคนนี้มีไม่ถึง 50% โดยวุฒิสมาชิกวอร์น็อกนำอยู่แค่เพียงหายใจรดต้นคอที่ 49.4% ต่อ 48.5% จึงต้องมีการเลือกตั้งใหม่ในวันที่ 6 ธันวาคม2022 ส่วนผลการแข่งขันเลือกตั้งจะออกมาอย่างไรนั้น ก็คงจะไม่มีผลกระทบต่อเสียงข้างมากของพรรคเดโมแครตในวุฒิสภา

เท่ากับว่าประธานาธิบดีโจ ไบเดน สามารถก้าวผ่านจุดวิกฤตทางการเมืองที่เขาสามารถจะใช้ข้อได้เปรียบบริหารประเทศต่อไปได้อีกสองปีข้างหน้า

โดยประธานาธิบดีโจ ไบเดน สามารถจะแต่งตั้งผู้พิพากษาทุกๆระดับรวมทั้งแต่งตั้งเอกอัครราชทูตได้ตามอัธยาศัยโดยพรรครีพับลิกันไม่สามารถกีดกันได้ และถึงแม้ว่าพรรครีพับลิกันจะมีเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรก็ตาม แต่ประธานาธิบดีโจ ไบเดนก็ยังสามารถยับยั้งร่างกฎหมายของพรรครีพับลิกันได้อีกด้วย อีกทั้งประธานาธิบดีโจ ไบเดน ยังสามารถคุมด้านการต่างประเทศได้อีกด้วยเช่นกัน

อย่างไรก็ตามแนวโน้มที่ทำให้พรรคเดโมแครตสามารถมีเสียงข้างมากในวุฒิสภา เกิดขึ้นจากการที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน เป็นผู้จุดประกายโดยเดินเกมวางแผนให้ “รองผู้ว่าฯจอห์น เฟตเตอร์แมน” แห่งรัฐเพนซิลเวเนีย สามารถเอาชนะ“ดร.เมท์เมท ออซ” ศัลยแพทย์โรคหัวใจและทรวงอกผู้โด่งดังในรายการโทรทัศน์ ซึ่งเป็นบุคคลผู้ที่ประธานาธิบดีทรัมป์ เลือกสรร เข้าไปชิงตำแหน่ง

ทั้งนี้แนวโน้มที่พรรคเดโมแครตจะแซงขึ้นหน้าพรรครีพับลิกันจนสามารถเข้าไปคุมเสียงข้างมากในวุฒิภาได้นั้น ส่อเค้าลางมาตั้งแต่วันศุกร์ที่ 11 พฤศจิกายน 2022 ซึ่งมาจากการรายงานข่าวของสำนักข่าวเอพีอีกเช่นกัน ที่สำนักข่าวนี้ได้แถลงว่า “วุฒิสมาชิกมาร์ก เคลลี” อดีตนักบินอวกาศ แห่งรัฐแอริโซนาได้รับชัยชนะเหนือ “เบรค มาสเตอร์ส” คู่แข่งด้วยคะแนนนำเพียงแค่ห้าเปอร์เซ็นต์ ทำให้จำนวนวุฒิสมาชิกของพรรคเดโมแครตเขยิบขึ้นมาเท่ากับพรรครีพับลิกัน 49:49

เป็นที่น่าสังเกตว่าการเลือกตั้งกลางเทอมของปี 2022 หนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัล ซึ่งมีอิทธิพลมากที่สุดในสหรัฐฯ และมียอดพิมพ์วันละเกือบสามล้านฉบับได้เขียนบทบรรณาธิการเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2022 นี้ว่า “ทรัมป์คือผู้พ่ายแพ้แบบสุดๆของพรรครีพับลิกัน”  

แม้กระทั่งสำนักข่าวโทรทัศน์ช่องฟอกซ์นิวส์ ที่ครอบครัวของ“รูเพิร์ต เมอร์ด็อก” เป็นเจ้าของ  และเคยวางตัวเป็นกระบอกเสียงให้แก่ประธานาธิบดีทรัมป์มาโดยตลอด แต่ขณะนี้กลับปิดปากเงียบสนิท

ตามติดด้วยหนังสือพิมพ์นิวยอร์กโพสต์ ซึ่งเป็นเครือข่ายของ “รูเพิร์ต เมอร์ด็อก” ด้วยเช่นกัน ซึ่งก่อนหน้านี้ก็เคยสนับสนุนอดีตประธานาธิบดีทรัมป์แต่เพิ่งแปรพักตร์เอาเมื่อตอนที่ประธานาธิบดีทรัมป์ยุยงส่งเสริมให้เกิดการจลาจลบุกเข้าไปในรัฐสภา ทั้งนี้นิวยอร์กโพสต์ได้โพสต์ว่า “นักการเมืองที่สมควรจะเข้าไปเป็นตัวแทนของพรรครีพับลิกันก็คือ “ผู้ว่าฯรอน ซอนทัส” ที่เพิ่งได้รับเลือกสมัยที่สองในรัฐฟลอริดา โดยสามารถเอาชนะคู่แข่งถึง 19%

กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนั้นเป็นที่แน่นอนแล้วว่าพรรคเดโมแครตภายใต้การนำของประธานาธิบดีโจ ไบเดน สามารถครองเสียงส่วนใหญ่ในวุฒิสภาได้ต่อไปในอีกสองปีข้างหน้า ส่วนพรรครีพับลิกันที่มีประธานาธิบดีทรัมป์เป็นกัปตันผู้ควบคุมปรากฏว่า วางแผนวาดความหวังจะเข้าไปคุมเสียงข้างมากในสภาผู้แทนฯอย่างน้อย 40 ที่นั่งขึ้นไป แต่กลับปรากฏว่าขณะนี้ต้องซดน้ำแห้ว เพราะคะแนนห่างกันแค่เพียง 7 ที่นั่งแถมพรรคเดโมแครตก็กำลังมีคะแนนตามมาติดๆ ดูๆไปแล้วอิทธิพลของประธานาธิบดีทรัมป์กำลังถดถอยลงเรื่อยๆ และก็คงจะกลายเป็นฝ่ายตั้งรับต่อชะตากรรมที่ถาโถมมาเรื่อยๆละครับ