ลีลาชีวิต / ทวี สุรฤทธิกุล

ความฝันเกิดได้ทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ เช่นเดียวกันเมื่อจะหมดฝัน เราเองก็ดับมันได้ หรือไม่ฝันนั้นก็ดับไปเอง

ตั้งแต่ที่อ้อยคลอดลูกชายคนแรกให้กับเฮ้ง รวมถึงที่เป็นหลานชายคนแรกในครอบครัว โดยอาก๋งกับอาม่าตั้งชื่อว่า “ศิริสวัสดิ์” และเรียกชื่อเล่นว่า “กล้า” ทุกคนก็ตั้งความหวังกับเด็กชายกล้าไว้ค่อนข้างมาก โดยเฉพาะอาก๋งกับอาม่าที่อยากให้หลานชายคนนี้ได้เป็นทหาร  เนื่องจากทางการไทยได้ยอมรับให้คนไทยเชื้อสายจีนที่ได้สัญชาติไทยโดยกำเนิด สามารถรับราชการได้แล้ว จึงได้ตั้งชื่อว่า “กล้า” ดังกล่าว

อีกสองปีต่อมาอ้อยก็ให้กำเนิดลูกชายคนที่สอง อาก๋งกับอาม่าก็ยิ่งเห่อหลานคนนี้เอามาก ๆ กว่าคนแรก โดยตั้งชื่อจริงว่า “กิตติสวัสดิ์” และเรียกชื่อเล่นว่า “เก่ง” ด้วยวาดหวังคนนี้จะเป็นคนที่มีชื่อเสียง ทำงานใด ๆ ประสบความสำเร็จ เป็นหน้าเป็นตาแก่วงศ์ตระกูล ทำให้ทั้งอ้อยและเฮ้งต้องตั้งใจเลี้ยงดูลูกทั้งสองเป็นอย่างดี เพราะไม่เพียงแต่จะต้องให้เป็นลูกที่ดีอย่างที่เขาทั้งสองที่เป็นพ่อแม่ตั้งความหวังไว้แล้ว ก็ยังต้องให้อยู่ในแนวทางที่อาก๋งและอาม่ากับคนอื่น ๆ ในครอบครัวตั้งความหวังไว้ด้วย

กล้ากับเก่งก็เป็นเด็กดีและเรียนเก่งอย่างที่ทุกคนมุ่งหวัง ทั้งสองคนได้เรียนในโรงเรียน “ฝรั่ง” ที่พวกคนมีเงินชอบให้ลูกหลานไปเรียน ซึ่งเฮ้งกับอ้อยก็อดออมมาส่งเสียอย่างอดทน ดีแต่ว่าอาก๋งกับอาม่าก็เอาเงินเก็บมาช่วยด้วยส่วนหนึ่ง สำหรับกล้าพอเรียนจบชั้นมัธยมต้น เฮ้งก็ต้องพาไปสมัครสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหารอย่างที่อาก๋งกับอาม่าได้วาดฝันไว้ แต่ปรากฏว่ากล้าไม่ผ่านการตรวจร่างกาย เนื่องจากสายตาสั้นเกินเกณฑ์ที่กำหนด แม้ว่าเฮ้งจะพากล้าไปใส่คอนแทกต์เลนส์มาแล้ว แต่ระเบียบก็ไม่อนุญาต แม้จะทำให้อาก๋งกับอาม่าเสียใจมาก แต่กล้าก็สามารถสอบเข้าโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาได้ ซึ่งก็เป็นโรงเรียนที่นักเรียนสามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้มากที่สุดของประเทศ ก็ทำให้อาก๋งกับอาม่ายังพอมีความหวังว่าหลานคนแรกคงจะได้เป็นใหญ่เป็นโตไม่ในทางใดก็ในทางหนึ่งต่อไป

สำหรับเก่งที่ก็เรียนเก่งสมชื่อ โดยอาก๋งกับอาม่าวาดฝันไว้ว่าจะให้เป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ จึงชอบที่จะพาหลานคนนี้ไปเข้าวงสังคมกับเพื่อน ๆ ของเถ้าแก่ เวลาที่เขามีเลี้ยงโต๊ะแชร์หรืองานสมาคมของกลุ่มธุรกิจของเถ้าแก่ เก่งก็จะได้ไปร่วมโต๊ะและกินอาหารต่าง ๆ อย่างเอร็ดอร่อย เป็นที่เอ็นดูของบรรดาเจ้าสัวทั้งหล่ายเป็นอย่างมาก ครั้นพอเก่งเรียนจบชั้นมัธยมต้น ก็ได้ไปสอบเข้าที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาเช่นเดียวกันกับพี่ชาย และสอบได้มีคะแนนอยู่ในระดับต้น ๆ จึงได้เรียนในห้อง “คิงส์” ที่ได้ชื่อว่าเป็นห้องที่รวบรวมคนเก่งของประเทศไว้ที่นี่ ซึ่งก็ได้ทำให้อาก๋งกับอาม่าดีใจมาก ๆ

ตอนที่กล้ากำลังจะต้องเข้าสอบมหาวิทยาลัย กล้ามาบอกพ่อเฮ้งกับแม่อ้อยว่า มีมหาวิทยาลัยแพทย์ชื่อดังมีโควตาให้กับนักเรียนในหลาย ๆ โรงเรียน รวมถึงที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษานั้นด้วย ซึ่งทางครูที่โรงเรียนก็อยากจะให้เขาเข้าเรียนในโควตานั้น มี่สุดเฮ้งกับอ้อยก็ตามใจ และในปีที่กล้าเข้าเรียนแพทย์นั้นเอง อาก๋งก็ป่วยเป็นโรคหัวใจ ตามมาด้วยอาม่าที่ก็ป่วยด้วยโรคหัวใจในอีก 2 ปีต่อมาเช่นกัน ซึ่งก็เป็นปีที่เก่งได้โควตาเข้าเรียนแพทย์ด้วยอีกคนหนึ่ง ทำให้บ้านนี้ “ว่าที่คุณหมอ” ถึง 2 คน แต่ทั้งสองคนก็ไม่ได้รักษาปู่และย่าของพวกเขา เพราะก่อนที่กล้ากำลังศึกษาอยู่ในปีที่หกอันเป็นปีสุดท้าย และเก่งก็เพิ่งจะขึ้นเป็นนักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ 4 อาก๋งกับอาม่าก็มาเสียชีวิตในเวลาไล่เลี่ยกัน

ในช่วงที่ลูก ๆ ทั้งสองคนเรียนมหาวิทยาลัยแล้วนี่เอง เฮ้งกับอ้อยก็วางแผนว่าอยากจะไปใช้ชีวิตสบาย ๆ หลังเกษียณจากงานบริษัทที่ทั้งสองคนทำอยู่ รวมถึงที่อยากให้พ่อกับแม่มีสุขภาพดี จึงไปซื้อที่สวนมะพร้าวเก่าของชาวบ้านแถวอัมพวา ไว้ราว 10 ไร่เศษ กะว่าจะเอาไว้ทำสวนแบบเศรษฐกิจพอเพียง เพียงเพื่อจะได้ให้พ่อแม่ได้อยู่ในที่อากาศดี ๆ ริมแม่น้ำลำคลอง และได้ออกแรงทำสวน ปลูกโน่นปลูกนี่ จะได้มีอายุยืนยาว ทว่าระหว่างที่กำลังปรับปรุงพื้นที่ โค่นถางเอามะพร้าวเก่าไปทิ้ง และปรับพื้นที่เป็นแปลงปลูกผักกับดอกไม้ พ่อกับแม่ก็มาเสียชีวิตไปเสียก่อน

ตอนแรกเฮ้งกะว่าจะเอาร่างของพ่อกับแม่มาฝังไว้ด้วยกันที่บ้านสวนอัมพวา โดยทำเป็นเป็นฮวงซุ้ยให้กับบรรพบุรุษทั้งสอง แต่ทางเทศบาลไม่อนุญาต เขาก็เลยเอาไปฝังไว้ที่สุสานแถวศรีราชา แม้จะต้องใช้เงิน “ซื้อที่” ให้กับพ่อและแม่แพงมาก แต่เขาก็รวบรวมเงินจากพี่ ๆ มาช่วยซื้อด้วยจำนวนหนึ่ง จากนั้นเขาก็ทำป้ายและแท่นบูชาไว้ที่ในห้องกินข้าวที่บ้านสวน และทำการบูชาเซ่นไหว้เป็นประจำ รวมทั้งที่ให้พี่ ๆ และลูก ๆ ของพี่ ๆ กับลูกชายทั้งสองคนของเขา ได้มาบูชากราบไหว้ตามเทศกาลต่าง ๆ อยู่เสมอ ๆ

ลูกทั้งสองคนพอจบออกมา ก็ต้องไปทำงานอยู่ในโรงพยาบาลที่ต่างจังหวัดตามระเบียบของทางราชการ ที่หมอจบใหม่ต้องเลือกไปบรรจุในโรงพยาบาลตามต่างจังหวัดนั้นเสียก่อน แล้วจะสามารถขอโอนย้ายกลับมาในส่วนกลางได้ต่อไป แต่ดูเหมือนว่าทั้งหมอกล้าและหมอเก่งจะติดใจการเป็นแพทย์ชนบทนั้นเสียแล้ว จนกระทั่งพ้นเวลาที่ต้องทำงานตามกำหนดก็ไม่ยอมหาทางโอนย้ายกลับ พอดีกันกับที่เฮ้งกับอ้อยได้วางแผนไว้ว่าจะเกษียณตัวเองตอนอายุ 55 ปี ทั้งสองคนจึงมาอยู่ที่บ้านสวน และใช้ชีวิตอยู่ที่นี่อย่างถาวร

ในปีที่เขาเกษียณออกมาพร้อมเงินชดเชยจำนวนพอสมควร เป็นปีที่พืชผลการเกษตรราคาตก ชาวบ้านที่ทำสวนมะพร้าวพากันขายที่ทำกินกันเป็นจำนวนมาก ในบริเวณใกล้ ๆ ที่ดินของเขาก็มีชาวบ้านมาเสนอขายในราคาที่ไม่แพง เขาจึงซื้อที่ดินเพิ่มอีก 20 กว่าไร่ รวมกับที่ดินเดิมก็เป็นจำนวนเกือบ 40 ไร่ ซึ่งเพื่อนของเขาที่ไปปลูกอินทผลัมอยู่ใกล้เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ได้แนะนำให้เขาลองปลูกอินทผาลัมในแบบเดียวกันนั้นด้วย โดยบอกว่า ปลูกง่าย ขายดี และกินได้นาน

เขาเอาเรื่องการปลูกอินทผลัมไปปรึกษาลูกทั้งสองคน เผื่อจะได้มีความผูกพันกับที่สวนผืนนี้ โดยคาดหวังว่าลูกทั้งสองคนจะได้รับช่วงต่อไปในอนาคต ซึ่งลูกทั้งสองก็ตกลงด้วยดี ทว่าตอนนี้อินทผลัมของเขาที่ปลูกมาได้ 7-8 ปี กำลังให้ผลในรุ่นแรก ๆ ซึ่งก็ขายได้ดีและมีตลาดรองรับพอสมควร แต่ลูกทั้งสองคนก็ดูเหมือนจะไม่ค่อยให้ความสนใจอะไรมากนัก

เขาเอาเรื่องนี้ไปคุยกับเพื่อน ๆ และผู้คนต่าง ๆ หลายคนก็ประสบปัญหาเดียวกันกับเขา คือบางทีอนาคตบางอย่างที่เราอยากสร้างไว้ให้ลูก ลูก ๆ ก็ไม่ได้สนใจเอาใจใส่ หรือยอมรับเอา “ฝัน” ที่เราวาดไว้ให้นั้นแต่อย่างใด เหมือนกับว่าต่างคนต่างก็มีฝัน และแต่ละฝันนั้นก็ทำให้แต่ละคนมีชีวิตที่แตกต่างกัน

เขาเองมีฝันมาตั้งแต่เด็กถึง “วันวานในบ้านสวน” แล้วเมื่อเขามีโอกาสเขาก็ “ซื้อฝัน” นั้นในทันที โดยวาดฝันว่าจะมอบฝันนั้นให้กับพ่อและแม่ที่ให้กำเนิดเขามา รวมถึงที่พ่อกับแม่จะได้มีความสุขในบ้านสวนอย่างที่เคยได้สร้างเนื้อสร้างตัวนั้นขึ้นมาอีกด้วย ตลอดจนความฝันของเขาเองที่อยากจะให้ลูก “ร่วมฝัน” ว่าชีวิตในบ้านสวนอย่างที่พ่อและปู่กับย่าเคยมีความสุขนั้นเป็นเช่นไร

เมื่อไม่มีใครที่จะ “ร่วมฝัน” ไปด้วยกันกับเขา บางทีก็ต้องปล่อยให้ “ฝันสลาย” ไปตามกาลเวลาและตามชีวิตของเขาที่เป็นผู้ “ก่อฝัน” ที่ก็ต้องสิ้นสุดไปในวันข้างหน้านั้นต่อไป