โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ สนับสนุนการยกระดับสถานรองรับเด็ก และมาตรฐานการดูแลผู้รับบริการให้ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย รวมทั้งสั่งการกระตุ้นความเข้มแข็งของครอบครัวและชุมชน เพื่อลดจำนวนและป้องกันเด็กไม่ให้เข้าสู่การเลี้ยงดูทดแทนโดยไม่จำเป็น

วันนี้ (วันที่ 15 มิถุนายน 2566) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ติดตามการทำงานเพื่อยกระดับมาตรฐานสถานรองรับเด็ก และการดูแลผู้รับบริการทั่วประเทศใหม่ โดยนายกรัฐมนตรี กำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ถี่ถ้วน รวมถึงการพัฒนากลไกติดตามและกำกับดูแลสถานรองรับ สร้างสภาพแวดล้อมที่ดี เอื้อต่อการทำงานให้เด็กได้รับการดูแล ปกป้องคุ้มครอง และมีความปลอดภัย 

 

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาล ยกระดับมาตรฐานสถานรองรับเด็ก และการดูแลผู้รับบริการทั่วประเทศให้ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย พร้อมให้การดูแลสวัสดิการและสร้างสมดุลชีวิตกับงาน (Work-Life Balance) รวมทั้งประเมินและพัฒนาทักษะให้กับเจ้าหน้าที่ และพี่เลี้ยง ทั้งนี้ พม. ยังได้ประชุมร่วมกับหัวหน้าสถานสงเคราะห์ และหน่วยงานสถานรองรับทั่วประเทศ เพื่อเน้นย้ำแนวทางการดำเนินงานและมาตรการ เพื่อพัฒนา และปรับเปลี่ยนการดูแลผู้รับบริการให้ดีขึ้นยิ่งขึ้น

 

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยังเปิดเผยด้วยว่า พม. ยังจะจัดทำแผนปฏิบัติการยกระดับมาตรฐานสถานรองรับเด็ก จัดระบบสถานสงเคราะห์และสถานรองรับทั่วประเทศใหม่ โดยจะมีการจัดตั้งคณะกรรมการบริหารสถานการณ์ในภาวะวิกฤต ทีมตรวจเยี่ยม รวมทั้งขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดมอบหมายพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด (พมจ.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำกับสถานรองรับเด็กตามกฎหมาย ส่งเสริมบทบาทคณะกรรมการคุ้มครองเด็กจังหวัดและกรุงเทพมหานคร และประเมินสุขภาพจิตร่วมกับกรมสุขภาพจิต   

นอกจากนี้ เพื่อให้การดำเนินการมีความครอบคลุมจะประเมินความเสี่ยง (Risk Assessment) เพื่อจัดทำแผนการยกระดับมาตรฐานสถานรองรับเด็กรายแห่ง ทบทวนมาตรฐานการดูแลเด็กของบ้านพักเด็กและครอบครัว และสถานรองรับเด็กทั่วประเทศให้เป็นมาตรฐานกลาง โดยมีเป้าหมายในการลดจำนวนเด็กและป้องกันเด็กไม่ให้เข้าสู่การเลี้ยงดูทดแทนโดยไม่จำเป็น และให้มีการจัดทำแผนพัฒนาเด็กรายบุคคล (Individual Development Plan – IDP) เพื่อประเมินความเป็นไปได้ในการคืนครอบครัว ทำให้ลดระยะเวลาในการอยู่ในสถานรองรับของเด็ก

ซึ่งสำหรับความคืบหน้ากรณีสถานสงเคราะห์เด็กหญิงจังหวัดสระบุรีนั้น คดีอยู่ระหว่างสอบข้อเท็จจริงเด็กตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา เป็นอำนาจของเจ้าหน้าที่ตำรวจ อัยการ และพนักงานสอบสวน ร่วมกับทีมสหวิชาชีพ และองค์กรพัฒนาเอกชน โดยภายใน 3 เดือน พม. จะเร่งดำเนินการฟื้นฟูเยียวยาสภาพจิตใจเด็ก และบุคลากร รวมทั้งจัดตั้งทีมสนับสนุนยกระดับมาตรฐานสถานสงเคราะห์ฯ เร่งพัฒนาสภาพแวดล้อม สุขอนามัย และความปลอดภัย จัดทำแผนดูแลและพัฒนาเด็กรายบุคคล เพื่อให้สถานสงเคราะห์ฯ เป็นสถานที่ปลอดภัยสำหรับเด็ก

“นายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญกับการดูแลเด็ก การพัฒนากลไก ยกระดับมาตรฐานระบบสถานสงเคราะห์และสถานรองรับทั่วประเทศ สร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและเอื้อต่อพัฒนาการของเด็ก ให้เด็กได้รับการคุ้มครองและเลี้ยงดูอย่างมีประสิทธิภาพ ในขณะเดียวกัน ก็มุ่งเสริมสร้างความเข้มแข็งของครอบครัวและชุมชน เพื่อลดจำนวนเด็กและป้องกันเด็กไม่ให้เข้าสู่การเลี้ยงดูทดแทนโดยไม่จำเป็นอย่างยั่งยืนควบคู่กันไป” นายอนุชาฯ กล่าว