ลีลาชีวิต / ทวี สุรฤทธิกุล

มนุษย์ที่มีความมั่นใจในตัวเองมากจนเกินไปมักจะโทษธรรมชาติว่าผิดปกติ มากกว่าที่เห็นว่าเป็นความผิดปกติของตนเอง

บ่อยครั้งที่พวกเด็ก ๆ มักจะพากันไปเล่นในที่ไกล ๆ นอกเหนือจากในแนวสวนหลังบ้านที่เล่นกันอยู่ประจำ บางทีก็ไปเล่นน้ำกันที่ชายคลองท้ายสวน หรือข้ามคลองไปก็จะเป็นวัดเก่าเล็ก ๆ เดินข้ามสะพานไม้ไปสักยี่สิบก้าวก็ถึงแล้ว แต่ต้องไปกลางวัน เพราะกลางคืนจะน่ากลัวมาก ไม่เพียงแต่ต้นไม้ที่ขึ้นรกแทบจะไม่เห็นทางเดิน ก็ยังมีเสียงประหลาด ๆ รวมถึงเงาวูบวาบไม่รู้ว่ามีอะไรวิ่งไปมารอบ ๆ ทางที่เดินไปนั้นด้วย

พ้นป่าทึบหลังวัดที่ติดกับชายคลองไปแล้วก็จะเป็นป่าช้า มีเจดีย์ก่ออิฐฉาบปูนฝีมือหยาบ ๆ ตั้งกระจุกอยู่เป็นหย่อม ๆ ไว้เป็นที่เก็บกระดูกของคนตาย เมื่อเวลาที่มีการทำบุญกระดูกหรือก่อนสงกรานต์ก็จะมีคนมาทำบุญอยู่เสมอ ถัดไปนั้นเป็นกุฏิทรงไทย 4-5 หลัง มุงสังกะสีมีสนิมกินบ้างเพราะเป็นสังกะสีเก่าที่รื้อมาถวายวัด ที่เป็นหลังคากระเบื้องก็มีเพียงกุฏิท่านเจ้าอาวาส ใกล้กันก็มีเรือนแถวไม้ขนาดหกห้องมุงสังกะสีเก่า ๆ เช่นกัน ด้านหน้าออกไปติดถนนซอยกับสวนของชาวบ้านเป็นโบสถ์เก่า ๆ กับองค์เจดีเล็ก ๆ สูงพอ ๆ กับหลังคาโบสถ์ที่ก็มีขนาด 5 คูณ 8 เมตร สูงราว 6 เมตร ด้านข้างองค์เจดีย์เป็นศาลาโถงใต้ถุนเตี้ย ๆ กว้างยาวสัก 6 คูณ 10 เมตร ไว้เป็นที่ทำบุญเลี้ยงพระและชุมนุมชาวบ้าน

ประภาศรีกับเพื่อน ๆ ชอบมาเล่นที่ศาลานี้ โดยเฉพาะเล่นมุดเข้ามุดออกไล่จับกันที่ใต้ถุนศาลา ที่พื้นสูงครือ ๆ กันกับหัวของเด็ก ๆ เวลาวิ่งก็ต้องระวังและก้มหัวให้ดี ซึ่งจะทำให้วิ่งได้เร็วและรอดพ้นจากการถูกตะครุบจับ แต่ที่น่าตื่นเต้นมากกว่านั้นก็คือ บ่อยครั้งที่มีแม่แมวและแม่หมามาออกลูก บางทีก็ 2-3 ครอก ผู้ใหญ่ว่าเป็นฤดูกาลของมัน อย่าไปรบกวนมัน แต่เด็ก ๆ ก็อดที่จะไปแหย่ไม่ได้ บางคนเอาไม้แหย่ก็แค่ถูกขู่ฟ่อด ๆ ไล่ออกมา แต่เด็กบางคนทำใจกล้าเอามือไปแหย่ก็เคยมีคนถูกงับมาบ้างเหมือนกัน

หมาแมวที่ใต้ถุนศาลานี้มีคนบอกว่าเป็นหมาแมวที่มีชาวบ้านเอามาปล่อย ส่วนมากจะเป็นหมาแมวที่มีนิสัยไม่ดี เช่น ชอบขโมยของ หรือดุผิดปกติ แต่ประภาศรีเข้าไปดูใกล้ ๆ บางทีก็แอบเอามือลูบหัวลูบหลังมันเล่น ก็ดูเรียบร้อยดี ไม่เห็นว่าจะมีความชั่วร้ายอะไร พอมันมีลูกและหย่านมแล้ว ก็เคยแอบเอามาเลี้ยงที่บ้าน แต่พ่อกับแม่ก็จะดุและให้เอากลับไปคืนวัด ประภาศรีวิ่งเล่นอยู่ที่ใต้ถุนวัดนี้ได้สัก 4-5 ปีก็เลิกเล่น เพราะเริ่มเป็นเด็กโต อีกอย่างหนึ่งในปีหลัง ๆ ก็มีคนเอาหมาแมวมาปล่อยเป็นจำนวนมาก จนเกิดปัญหาแย่งที่อยู่ที่กินกัน ที่สุดท่านเจ้าอาวาสก็ให้เอาตาข่ายมาตอกล้อมรอบใต้ถุนศาลา กระนั้นก็ยังมีคนแอบเอาไปปล่อยตามกุฏิและในป่าช้าในเวลากลางคืน ท่านเจ้าอาวาสเคยบ่นว่าจะเขียนแช่งให้คนพวกนี้ตกนรก แต่ด้วยวิสัยพระก็ทำอย่างนั้นไม่ได้ ก็เลยต้องปล่อยเลยตามเลย และขอแรงชาวบ้านที่ใจบุญมาช่วยดูแลและหาอาหารมาให้ ในจำนวนนั้นก็มีเด็กหญิงแหววหรือประภาศรีรับอาสาอยู่ด้วยคนหนึ่ง

ประภาศรีมีหมากับแมวที่รักมากอยู่คู่หนึ่ง ที่เรียกว่าคู่ก็เพราะมันชอบอยู่ด้วยกัน ไปไหนมาไหนและกินนอนด้วยกัน แมวนั้นชื่อ “เลอะเทอะ” ตามชื่อที่ประภาศรีตั้งให้ เพราะเป็นแมวที่มีขนหยิก ๆ สีน้ำตาลแดงแต้มดำและริ้วเหลือง ๆ เลอะ ๆ ดูมอมแมมมาก ๆ ทั้งยังตาบอดเหลือตาสีน้ำตาลอมเหลืองซีด ๆ อย่างที่เรียกว่าสีฟางนั้นอยู่เพียงข้างเดียว ส่วนหมาก็ชื่อ “สามขา” เพราะเกิดมาพิการเหลือขาหลังเพียงข้างเดียว แต่ว่ายืนตัวตรงได้และวิ่งเร็วมาก บางคนแซวว่าเพราะมันมีแค่สามขาจึงตัวเบาและวิ่งได้เร็วกว่า แต่นั่นก็ไม่ประหลาดเท่าประวัติความเป็นมาของหมากับแมวคู่นี้ อันเป็นเรื่องราวที่ทำให้ประภาศรีซึ้งใจและรักหมากับแมวคู่นี้จนหมดหัวใจ

เลอะเทอะเป็นแมวเพศเมีย เกิดที่ใต้ถุนศาลา มีคนเห็นว่ามีพี่น้องหลายตัว แต่เพราะเลอะเทอะพิการทั้งยังสีไม่สวย จึงไม่มีใครเอาไปเลี้ยง ในขณะที่พี่น้องครอกเดียวกันตัวอื่น ๆ มีคนเอาไปเลี้ยงจนหมด ในปีที่ประภาศรีไปเห็นมันยังไม่มีชื่อ รู้แต่ว่าคนส่วนใหญ่เรียกว่านังบอด ตอนนั้นมันป่วยหนัก ลำตัวผอมแห้งมีแผลพุพอง ขี้ตาเต็มหน้า นอนหายใจผะงาบ ๆ ประภาศรีเอานมอุ่น ๆ ใส่หลอดกาแฟหยอดให้กินวันละถ้วยตะไล กับข้าวบดใส่เนื้อปลาอีกถ้วยเช่นกัน 3 วันก็เริ่มมีแรงพยุงขึ้นพลิกตัวได้ ประภาศรีเอาน้ำอุ่นเช่นทำความสะอาดทุกวัน จนดูสะอาดสะอ้าน พออาทิตย์ต่อมาก็กินนมและข้าวได้เอง แล้วปลายปีนั้นก็มีตัวผู้มาติดพัน และตั้งท้องจนออกลูกในต้นปีถัดมา

ในตอนที่เลอะเทอะคลอดลูกนี่เอง ก็มีคนเอาลูกหมาสีขะมุกขะมอมมีขาสามขาตัวหนึ่งมาปล่อยที่ใต้ถุนศาลา มันคงหิวมากเพราะมันมาแย่งนมลูกแมวที่เป็นลูกของเลอะเทอะนั้นกินด้วย ซึ่งเลอะเทอะก็เหมือนจำยอม หรืออาจจะด้วยหัวใจที่เมตตาเหมือนลูกอีกตัวหนึ่งจริง ๆ ประภาศรีมาดูทีแรกก็พยายามแยกไม่ให้เจ้าหมาไปแย่งกินนม แต่เลอะเทอะก็ทำเสียงอื่อ ๆ อยู่ในคอคล้ายจะไม่พอใจ พอประภาศรีถอยห่างก็ดูผ่อนคลายและดันให้เจ้าสามขาเข้ามาดูดกินนมต่อไป จนเมื่อหย่านมแล้วเจ้าสามขาก็วนเวียนไม่เคยห่างจากแม่เลอะเทอะเลย รวมถึงที่เป็นบอดีการ์ดคอยปกป้องคุ้มครองเลอะเทอะกับลูก ๆ เพราะลูก ๆ ของเลอะเทอะอีก 4 ตัวนั้นก็ไม่มีใครกล้ามาขโมยไป รวมถึงเด็ก ๆ ก็ไม่กล้าที่จะมาแหย่เล่นหรือรังแกอีกด้วย

ในปีต่อมาซึ่งเป็นปีที่ท่านเจ้าอาวาสบ่นเรื่องหมาแมวที่วัดว่ามีจำนวนมากจนเกินไป จนเกินกำลังที่วัดจะเลี้ยงได้ ก็คงจะมีผู้หวังดีเอาเรื่องนี้ไปบอกกับทางเทศบาล แล้วเทศบาลก็เอาเจ้าหน้าที่มาจับหมาออกไปจำนวนหนึ่ง ส่วนแมวนั้นอาจจะยังไม่ได้สร้างปัญหาอะไรมาก หรือเทศบาลเองก็ไม่อยากรับภาระเรื่องแมวเท่าใดนัก ลำพังเฉพาะหมาก็ทำให้งานของเทศบาลนั้นล้นมือแล้ว ประภาศรีมารู้เรื่องในวันรุ่งขึ้น เธอร้องไห้จนตาบวม แต่ที่มีทุกข์มากกว่าน่าจะเป็นเจ้าเลอะเทอะ เพราะมันเที่ยวร้องหาเจ้าสามขาทุกวัน จนมีคนสงสารไปที่เทศบาลเพื่อถามหาเจ้าสามขา แต่เจ้าหน้าที่บอกว่าได้ส่งไปสถานกักกันหมาในที่อื่นแล้ว ไม่สามารถตามตัวให้ได้

เลอะเทอะร้องอยู่สัก 5 วัน จากวันแรก ๆ ก็เสียงดัง แล้วแผ่วลงเรื่อย ๆ ในวันต่อ ๆ มา จากนั้นก็นอนอยู่นิ่ง ๆ ไม่กินอะไร ผอมลง ๆ และตายในวันที่หกต่อมา ประภาศรีนั้นเศร้าอยู่เป็นเดือน แม่บังคับให้กินข้าวก็ทานได้บ้างไม่ได้บ้าง จนแม่พาไปวัดและพากันใส่บาตรให้เลอะเทอะกับสามขาในเดือนต่อมา ประภาศรีก็ค่อยดีขึ้น แต่ก็ดีขึ้นแต่ร่างกาย เพราะเธอกลับเป็นเด็กที่เงียบลง ๆ เงียบจนทุก ๆ คนตกใจ และวุ่นวายไปว่าเธอคงผิดปกติ หรือเป็นอะไรไปเสียแล้ว

เรื่องนี้เธอยืนยันกับทุกคนที่เธอเล่าให้ฟังว่า เธอไม่ได้ผิดปกติอะไร เพียงแต่โลกรอบตัวเธอนั่นแหละที่ผิดปกติ