แม้นโยบายวีซ่าฟรีจะเป็นปัจจัยดึงดูดนักท่องเที่ยวจีนให้เข้ามาประเทศไทยได้สะดวกขึ้น แต่ปัจจัยที่นักท่องเที่ยวจีนพิจารณามากกว่าอาจเป็นเรื่องเศรษฐกิจของจีนที่ชะลอตัว ต้องระมัดระวังเรื่องการใช้จ่ายในการเดินทางออกนอกประเทศ ทำให้ดีมานด์นักท่องเที่ยวจีนหายไปในช่วงไฮซีซั่น 2566 ซึ่งคงต้องจับตาดูในช่วงโลว์ซีซั่น หลังเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ว่านักท่องเที่ยวจีนจะกลับเข้ามามากน้อยเพียงใด ในเรื่องนี้มีคำตอบจากทางภาครัฐ และเอกชน

จีนเปลี่ยนแปลงโครงสร้างตลาด

โดย นางสาวฐาปนีย์  เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า ด้วยสถานการณ์ตลาดนักท่องเที่ยวจีน ในช่วง 11 เดือนอยู่ที่   2,979,557 คน คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 12.6% ของนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทย (23,617,860 คน) รองลงมาจากมาเลเซีย (3,608,687 คน คิดเป็น 15.27%) เป้าหมายนักท่องเที่ยวจีนเข้าประเทศไทยทั้งปี 2566 รวมทั้งสิ้น 4.04-4.4 ล้านคน ขณะที่เป้าหมายด้านรายได้ทั้งปี 2566 อยู่ที่ 226,240-246,400 ล้านบาท คาดการณ์ปี 2566 จะมีนักท่องเที่ยวจากจีนรวมราว 3.4-3.5 ล้านคน โดยมีค่าใช้จ่ายต่อเฉลี่ยต่อคน/ทริปอยู่ที่ 56,000 บาท สามารถสร้างรายได้ได้ประมาณ 190,400-196,000 ล้านบาท  

ซึ่งปัจจุบันนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางเข้าประเทศไทยในช่วงครึ่งปีแรกปี 2566 มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างตลาด โดยเป็นนักท่องเที่ยวประเภท FIT ร้อยละ 86 และนักท่องเที่ยวกรุ๊ปทัวร์ร้อยละ 14 และจังหวัดที่นักท่องเที่ยวจีนนิยมเดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทย 10 อันดับแรก ได้แก่ กรุงเทพฯ ภูเก็ต เชียงใหม่ ชลบุรี กระบี่ พังงา สุราษฎร์ธานี หนองคาย ประจวบคีรีขันธ์ และสตูล ตามลำดับ นิยมท่องเที่ยว ช้อปปิ้ง รับประทานอาหารไทย นวดและสปา ชมสถานที่ทางประวัติศาสตร์ กิจกรรมชายหาด และแสงสียามค่ำคืน

ดังนั้นในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2566 ประเทศไทยจึงมีสัดส่วนนักท่องเที่ยว FIT 86% ต่อ group tour 14% ในขณะที่ปี 2562 สัดส่วนอยู่ที่ FIT 60% ต่อ group tour 40%  ประกอบกับมีนักท่องเที่ยวจีนนิยมเดินทางคนเดียวเพิ่มขึ้นถึง 6% กินสัดส่วนประมาณ 17%ของนักท่องเที่ยวจีนทั้งหมด เป็นอันดับสองรองจากการมาท่องเที่ยวกับเพื่อน โดยตัวเลขดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงพฤติกรรมการท่องเที่ยวที่เปลี่ยนไปของนักท่องเที่ยวจีนที่อย่างมีนัยยะสำคัญ 

ฟื้นคืนฐานตลาดกลุ่มกระแสหลัก

ด้าน นายฉัททันต์ กุญชร ณ อยุธยา รองผู้ว่าการด้านตลาดเอเชีย และแปซิฟิกใต้ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)  กล่าวว่า ททท.ได้กำหนดทิศทางการดำเนินงานเพื่อกระตุ้นตลาดนักท่องเที่ยวจีน ภายใต้กลยุทธ์ 2Q และ 4 New โดย 2Q ประกอบด้วย 1.Quick Win ฟื้นคืนฐานตลาดกลุ่มกระแสหลักโดยกระต้นกลุ่มเดินทางซ้ำ ขยายฐานกลุ่มเดินทางครั้งแรก และส่งเสริมการเดินทางในช่วงโลว์ซีซั่น และ 2.Quality เพิ่มจำนวนและกระตุ้นการใช้จ่ายของกลุ่มความสนใจพิเศษ อาทิ Health & Wellness, Wedding & Honeymoon, Sport Tourism, Luxury, Sub-Culture เป็นต้น โดยได้กำหนดแผนระยะเร่งด่วนด้วยการเตรียมดำเนินการจัดกิจกรรม Media and Agent Fam Trip นำสื่อและบริษัทนำเที่ยวจากทั้งเมืองหลักและเมืองรองของจีนเข้ามาสัมผัสบรรยากาศการท่องเที่ยว

รวมถึงเรื่องการอำนวยความสะดวกนักท่องเที่ยวหลังจากไทยมีมาตรการยกเว้นวีซ่า และมาตรฐานความปลอดภัยในการท่องเที่ยวในประเทศไทย รวมทั้งสร้างโอกาสให้บริษัทนำเที่ยวของจีนมาพบปะคู่ค้าและบริษัทนำเที่ยวฝั่งไทย ทั้งนี้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในและกระตุ้นการขาย โดยมีแผนจัดในช่วงกลางเดือนธันวาคม 2566 นี้ จัดทำ User Generated Content ในลักษณะ Testimonial ของนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางมาไทยเพื่อสร้างความเชื่อมั่น มีแผนสัมภาษณ์นักท่องเที่ยวจีนที่มาเที่ยวเมืองไทย พร้อมนำไปเผยแพร่ผ่านสื่อในจีน เพื่อสื่อสารถึงคนจีนว่ามาเที่ยวไทยมีความสุขอย่างไร

ยังมีตลาดใหม่ที่เพิ่มขึ้นชัดเจน

ส่วน นาย สุรวัช อัครวรมาศ รองประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) อุปนายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (ATTA) และที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการท่องเที่ยวสภาผู้แทนราษฎร  กล่าวถึงสถานการณ์ท่องเที่ยวไทยในภาพรวมทั้งหมดในเวลานี้ ว่า เป็นไปตามเป้าแรกของททท.ที่อยู่ 20 ล้านคนนั้นไม่น่าจะมีปัญหา แต่เป้าที่ปรับใหม่เป็น 30 ล้านคนนั้นภายในหนึ่งเดือนข้างหน้ากับสภาวะถดถอยของนักท่องเที่ยวกลุ่มเป้าหมายน่าจะมีปัญหาอยู่บ้าง

อย่างไรก็ตามแม้จำนวนนักท่องเที่ยวที่คาดหวังหายไป แต่ยังมีนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นมาในตลาดอย่างเห็นได้ชัด  คือ ตลาดอินเดีย ตลาดรัสเซีย ในส่วนของตลาดมาเลเซียที่มาเป็นอันดับหนึ่งอยู่แล้ว ส่วนอีกตลาดหนึ่งที่น่าสนใจ และยังสามารถทำเป้าได้อยู่ คือ ตลาดซาอุดิอาระเบีย เริ่มมีนักท่องเที่ยวเข้ามา แต่ด้วยมีสภาวะสงคราม จึงกระทบต่อจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาไทยอยู่บ้างเช่นกัน

โดย นาย สุรวัช  กล่าวว่า ในสถานการณ์การเกิดสงคราม มีผลกระทบอยู่ 2 ข้อหลัก  คือ 1.จำนวนนักท่องเที่ยว และ 2.ต้นทุนในการทำงานด้านท่องเที่ยวที่จะต้องใช้จ่ายสูงขึ้น ทั้งในเรื่องค่าน้ำมัน และอื่นๆ ที่ต้องใช้จ่ายแพงขึ้น และสำคัญที่สุดฐานหลักที่สุด คือ ตลาดท่องเที่ยวจีน เพราะตัวเลขนักท่องเที่ยวจีนอยู่ที่ 11 ล้านคนเมื่อปี 2566 และปี 2567 จะต้องได้ประมาณ 40 ล้านคน/ครั้งเท่ากับก่อนโควิด หรือปี 2562 ซึ่งการที่รัฐบาลให้ความสนใจกับตลาดนักท่องเที่ยวจีน เป็นเพราะนอกจากจีนจะมาในจำนวนที่มากมายแล้ว ยังใช้จ่ายเป็นจำนวนมากด้วยเฉลี่ยต่อคนจะใช้จ่ายอยู่ที่ประมาณ 5-6 หมื่นบาท เมื่อเอาไปคูณกับ 11 ล้านคนเท่ากับ5-6 แสนล้านบาทแต่ทว่าในเวลานี้นักท่องเที่ยวเข้ามาในแต่ละประเทศต่างมีฤติกรรมที่ไม่เหมือนกัน ทำให้ผู้ประกอบการที่จะเข้ามาทำธุรกิจด้านท่องเที่ยวแต่ละกลุ่มจะต้องปรับตัว ซึ่งนักท่องเที่ยวกลุ่มใดที่ลงทุนไปแล้ว แต่ไม่มาตามที่ตั้งไว้ ก็จะทำให้ธุรกิจนั้นๆ ไม่ฟื้น   

ไทยกับจีนจับมือเพื่อแก้ปัญหา

พร้อมกันนี้ นาย สุรวัช   ยังกล่าวต่อว่า ตลาดจีนตอนนี้ได้เพียง 3 ล้านคนขณะที่เคยตั้งไว้ประมาณ 5-6 ล้านคนหลังจากวันที่ 6 มกราคม 2566 ซึ่งเป็นวันที่จีนอนุญาตให้ปชช.เดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศได้ และรวมกับเดือนกุมภาพันธ์ที่บริษัททัวร์สามารถส่งทัวร์ออกมาได้ เพราะฉะนั้นจึงเป็นเรื่องที่น่าสนใจ เพราะบริษัททัวร์ก็เริ่มที่จะเหมาลำเครื่องบินมาแล้ว แต่บังเอิญว่า เศรษฐกิจจีนและนโยบายของรัฐบาลให้ท่องเที่ยวในประเทศให้มากขึ้น จึงทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของจำนวนคนที่เดินทางออกมานอกประเทศในช่วงที่ผ่านมา

อีกทั้งมีข่าวด้านลบเกี่ยวกับประเทศไทยตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง ดังนั้นทางไทยกับจีนจับมือเพื่อแก้ปัญหาต่างๆ เหล่านี้ตั้งแต่วันที่ 5 มีนาคม 2566 ที่ผ่านมา เพราะฉะนั้นในปี 2567 ถ้าภาครัฐสามารถเข้ามาแก้ปัญหา ด้วยการใช้สื่อของรัฐในจีนได้แล้ว ช่วง3-4 เดือนแรก คือ มั่นใจว่าตั้งแต่เดือนมกราคม ถึงเมษายน 2567 จำนวนนักท่องเที่ยวจะมากกว่าปีที่ 2566 อย่างแน่นอน แต่ด้วยพฤติกรรมการท่องเที่ยวที่เปลี่ยนไปจึงทำให้การวิเคราะห์ถึงจำนวนนักท่องเที่ยวเป็นไปอย่างลำบาก และการวิเคราะห์ตลาดจีนในมุมของผู้ประกอบการ จะมองที่เทศกาล ตรุษจีนเป็นหลัก  โดยปี 2567 คือประมาณปลายเดือนมกราคม  ซึ่งถ้าเกิดนักท่องเที่ยวเข้ามาเป็นจำนวนมาก ก็หมายความเวลาที่เหลือก็สามารถทำตลาดได้อย่างราบรื่น