“กรมราชทัณฑ์ กับการบริหารโทษ เกี่ยวกับสถานที่คุมขัง”

จากกรณีที่สื่อมวลชน ได้เผยแพร่ข่าวเกี่ยวกับการออกระเบียบกรมราชทัณฑ์ ว่าด้วยการดำเนินการสำหรับการคุมขัง พ.ศ.2566 โดยกล่าวถึงระเบียบดังกล่าวว่าเอื้อต่อบุคคลใดบุคคลหนึ่งหรือไม่ นั้น   

ล่าสุด กรมราชทัณฑ์ ได้ชี้แจงเพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับกรณีดังกล่าวว่า กรมราชทัณฑ์ ถือได้ว่าเป็นองค์กรปลายน้ำที่มีภารกิจสำคัญในการบริหารโทษให้เป็นไปตามคำสั่งศาล โดยมีพระราชบัญญัติราชทัณฑ์เป็นเครื่องมือในการกำหนดบริหารโทษไว้ ดังนี้                        

1.การบังคับโทษโดยวิธีการอื่น (มาตรา 6)

2.การจำคุกในสถานที่คุมขัง (มาตรา 33)

3.การให้ประโยชน์จากการประพฤติตนดี (มาตรา 52) เช่น การเลื่อนชั้น การพักการลงโทษ การลดวันต้องโทษจำคุก เป็นต้น

จากแนวทางในการปฏิบัติต่อผู้กระทำผิด (Treatment of the Offenders) ในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงที่เน้นการควบคุมผู้กระทำผิดควบคู่กับการแก้ไขฟื้นฟูผู้กระทำผิด (Rehabilitation) เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้กระทำผิดได้กลับตัวปรับปรุงตนเองไม่หวนกลับไปกระทำผิดซ้ำ กรมราชทัณฑ์ จึงมีการปฏิรูปงานราชทัณฑ์ ให้ทันต่อยุคสมัยที่มีการเปลี่ยนแปลง และหนึ่งในภารกิจการบริหารโทษของกรมราชทัณฑ์ที่เกี่ยวกับ การจำคุกในสถานที่คุมขัง  ซึ่งปัจจุบันเป็นไปตามกฎกระทรวง ว่าด้วยกำหนดสถานที่คุมขัง พ.ศ.2563 ว่าด้วยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 7 วรรคหนึ่ง และมาตรา 33 แห่งพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ.2560 ได้กำหนดไว้ว่า “สถานที่คุมขัง” หมายความว่า สถานที่อื่นที่มิใช่เรือนจำซึ่งเป็นสถานที่ของทางราชการหรือ เอกชนที่เจ้าของหรือผู้ปกครองดูแลรักษาสถานที่อนุญาตหรือยินยอมเป็นหนังสือให้ใช้ประโยชน์ในการควบคุมผู้ต้องขัง โดยมีวัตถุประสงค์ในการใช้คุมขังผู้ต้องขังเพื่อประโยชน์อย่างหนึ่งอย่างใด ได้แก่

1.เพื่อการปฏิบัติตามระบบการจำแนกและการแยกคุมขัง

2.เพื่อการดำเนินการตามระบบพัฒนาพฤตินิสัย

3.เพื่อการรักษาพยาบาล

4.เพื่อการเตรียมความพร้อมก่อนปล่อย

โดยเจตนารมย์ของกฎหมาย เพื่อเป็นการบริหารโทษและบริหารเรือนจำ โดยการจำแนกลักษณะผู้ต้องขังกลุ่มที่ไม่จำเป็นต้องอยู่ในเรือนจำ เช่น ผู้ต้องโทษระยะสั้น ผู้ต้องขังเจ็บป่วยร้ายแรงใกล้จะถึงแก่ชีวิต ผู้ต้องขังที่มีความพร้อมในการออกไปพัฒนาพฤตินิสัยนอกเรือนจำ เป็นต้น

ทั้งนี้ เพื่อให้การบริหารงาน การปฏิบัติงานของเจ้าพนักงานเรือนจำและเจ้าหน้าที่ การปฏิบัติตัวของผู้ต้องขังและการอื่นอันจำเป็นเกี่ยวกับสถานที่คุมขังตามมาตรา 33 แห่งพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ.2560 เป็นไปในแนวทางและมาตรฐานเดียวกัน อาศัยอำนาจตามมาตรา 34 แห่งพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ.2560 กรมราชทัณฑ์ จึงได้ออกระเบียบกรมราชทัณฑ์ ว่าด้วยการดำเนินการสำหรับการคุมขัง พ.ศ.2566 เพื่อให้เป็นไปตามกฎกระทรวง ว่าด้วยกำหนดสถานที่คุมขัง พ.ศ.2563 มาตรา ๓๓ ซึ่งเป็นไปตามกระบวนการที่อยู่ภายใต้กฎหมายกำหนดไว้ทั้งสิ้นซึ่งการนำตัวนักโทษไปคุมขังไว้ในสถานที่อื่นที่ไม่ใช่เรือนจำ แต่ยังคงอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของกรมราชทัณฑN และไม่ใช่เป็นการกำหนดประโยชน์ให้กับนักโทษ และในขณะใช้มาตรการ จะต้องอยู่ในสถานที่ที่กำหนดไว้ตามหลักเกณฑ์ ถ้าทำผิดเงื่อนไขจะถูกเพิกถอนและส่งตัวกลับเข้าเรือนจำทันที

นอกจากนี้ ประกอบกับคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี มื่อวันที่ 2  มกราคม 2563 กระทรวงยุติธรรมได้รายงานคณะรัฐมนตรี ถึงผลดำเนินการตามข้อเสนอแนะของ กสม.กรณีปัญหาในการดำเนินงานด้านกระบวนการยุติธรรมที่พบจากการดำเนินโครงการตรวจเยี่ยมสถานที่เสี่ยง ต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชน โดยมีส่วนที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาความแออัดของเรือนจำ กระทรวงยุติธรรม ได้จัดประชุมกับผู้เกี่ยวข้องและเห็นว่า การกำหนดสถานที่สำหรับการควบคุมผู้ต้องขัง แต่ละประเภทให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น โดยกำหนดสถานที่อื่นเพื่อการควบคุมตัวนอกเหนือจากการควบคุมตัวในเรือนจำเป็นหลักการที่ดี และจะต้องบูรณาการระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การกำหนดสถานที่เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เกิดประสิทธิผล จึงมีมติให้เสนอคณะรัฐมนตรี กสม.ได้มีหนังสือเน้นย้ำการปฏิบัติหน้าที่ของกรมราชทัณฑ์ ลงวันที่  25 ก.พ. 65 โดยเน้นย้ำให้กรมราชทัณฑ์กำหนดสถานที่อื่นเพื่อการควบคุมตัวนอกเหนือ จากการควบคุมตัวในเรือนจำ เพื่อแก้ไขปัญหาการแออัดของเรือนจำ