เมื่อเวลา 08.30 น. วันที่ 13 ธ.ค. 2566 ที่ห้องแกรนด์ ฮอลล์ 203 ชั้น 2 ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา นายเศรษฐา ทวีสิน  นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษในงาน “SUSTAINABILITY FORUM 2024” เรื่อง Clean Energy for Thailand Economy through Sustainability  โดยนายกฯ ระบุว่า ก่อนจะเข้าสู่สคริป ตนอยากจะสะท้อนว่าจากที่ตนเดินทางไปต่างประเทศในหลายประเทศ ไม่ว่าจะเกี่ยวข้องโดยตรง เรื่องการค้า การดึงนักลงทุนเข้ามา เรื่องพลังงานสะอาด เรื่องNet Zero หรือเป้าหมายสุทธิเป็นศูนย์  เป็นเรื่องสำคัญที่สุด เป็นเรื่องที่ไม่มีประเทศไหนในโลกที่มีความขัดแย้งเห็นไม่ตรงกัน เป็นเรื่องที่ในทุกวงเจรจาระหว่างประเทศทุกประเทศให้ความสนใจ และพร้อมเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในการผลักดันเรื่องเน็ตซีโร่

ประเทศไทยเองก็โชคดี ที่มีนักธุรกิจ มีผู้นำทางด้านความคิด สื่อมวลชนให้ความสำคัญเกี่ยวกับเรื่องนี้ SDGs index หรือเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ของไทยเราได้ลำดับที่ 43 ของโลก ดูแล้วอาจจะสูงไปหน่อย แต่ว่าต่ำที่สุดในอาเซียน หลายท่านอาจจะไม่ทราบว่าข้อนี้เป็นจุดขายที่ใหญ่ที่สุดในการที่จะดึงดูดนักลงทุนจากต่างประเทศ ให้เข้ามาลงทุนในประเทศไทย ทำให้มีการเคลื่อนไหวทางเศรษฐกิจ มีการย้ายฐานการผลิต อุตสาหกรรมทั้งในประเทศจีนและอีกหลายประเทศเข้ามาตั้งในประเทศไทย เรื่องนี้เป็นเรื่องที่นักลงทุนต่างชาติให้ความสำคัญสูงสุด ไม่ว่าจะอาเซียน หรือญี่ปุ่นที่ตนจะเดินทางวันที 14 ธ.ค.

นายกฯ กล่าวว่า ในส่วนของประเทศญี่ปุ่นนั้นมีเรื่องที่ทุกคนหนักใจ เนื่องจากเราทราบกันดีว่าจีนเป็นผู้นำด้านรถไฟฟ้าอีวี ซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงกับด้าน Net Zero โรงงานผลิตรถยนต์ของจีนพัฒนามาก ใช้อีวี เยอะมาก แต่ที่ญี่ปุ่นต้องพูดตรงๆว่าเขายังตามหลังพอสมควร ดังนั้นภารกิจใหญ่ของรัฐบาลเราที่ต้องเดินทางไปญี่ปุ่นเพื่อพูดคุยเรื่องนี้ให้ชัดเจน เราต้องยอมรับว่าประเทศญี่ปุ่นมีบุญคุณกับเรามายาวนานมาลงทุนในประเทศไทยสูงสุดในรอบ 50 ปีที่ผ่านมามี supply change ที่มั่นคงและยิ่งใหญ่ แต่เป็นภาคอุตสาหกรรมที่ยังไม่เป็นสีเขียวมากเท่าที่จะเป็น

ฉะนั้นการที่จะต้องเปลี่ยนผ่านไปสู่โลกสีเขียวยังมีอีกหลายประเด็นที่ต้องพูดคุยกัน และต้องให้แน่นอนว่าในฐานะผู้มีบุญคุณกับประเทศไทยเราต้องเดินไปข้างหน้าด้วยกัน เราต้องอยู่ด้วยกันให้ได้ แต่ว่าแน่นอนแก่นสารหลักก็คือเราต้องเป็นประเทศที่สนับสนุนอุตสาหกรรมที่เน้นเรื่องพลังงานสะอาด ที่พูดไปเพื่อเป็นการกระตุกให้คิดถึงหลายๆเรื่องเดี๋ยวจะพลาดไป 

 

นายกฯ กล่าวต่อว่า นักลงทุนหลายรายใหญ่ บริษัทใหญ่ๆมีความต้องการพลังงานสะอาด หลายบริษัทตั้งเป้าหมาย เช่น คอร์บอน ซีโร่ ภายในปี 2030 ซึ่งอีกแค่ 7 ปีข้างหน้า การลงทุนของพวกเขาจะต้องเป็นตัวกระตุ้นการลงทุนพลังงานสะอาด ทุกวันนี้เขาคุยกันจะสร้างศูนย์วิจัย สร้างออฟฟิศใหม่ โรงงานใหม่ต้องเป็นพลังงานสะอาด

ที่สำคัญsupply change จะถูกเรียกร้องให้มาตรฐานสูงขึ้นเช่นเดียวกัน พลังงานสะอาดเป็นจุดที่เราต้องเดินไปข้างหน้า จุดแข็งของประเทศไทยคือเรามีพื้นที่ ที่กว้างใหญ่ มีทรัพยากร มีสายส่งที่พร้อม ประเทศสิงคโปร์เองอยากพลังงานไฟฟ้าสะอาดแต่เขาไม่สามารถพัฒนาได้ ต้องซื้อจากประเทศรอบข้างซึ่งไทยเองก็สามารถเป็นผู้ขายไฟฟ้าสะอาดให้เขาได้ เขาเป็นประเทศเพื่อนบ้านเราทำการค้าขายกันมานานการแข่งขัน แต่ก็ต้องยอมรับว่าการแข่งขันนั้นสูง 

นายกฯ กล่าวว่า จากที่ตนได้ไปเยือนที่สปป.ลาวมาเมื่อเดือนที่แล้ว สิ่งที่หลายคนอยากให้พูดคือลาวขอให้เราเป็นทางผ่านส่งออกพลังงานสะอาดให้กับสิงคโปร์ เพราะสิงคโปร์ไม่สามารถเชิญหลายบริษัทใหญ่ให้ไปตั้งโรงงานทำธุรกิจในประเทศเขาได้ เพราะมีพลังงานสะอาดไม่พอ ฉะนั้นจึงอยากจะขอซื้อพลังงานสะอาดจากลาว ซึ่งเราจะนำไปพิจารณา บังเอิญสัปดาห์ต่อมาตนต้องเดินทางไปพบปะกับนักลงทุนจากสหรัฐอเมริกาหลายรายที่จะมาลงทุนในประเทศไทย และหนึ่งในคู่แข่งก็คือสิงคโปร์ พอผู้นำสปป.ลาวบอกว่าอยากจะขายพลังงานไฟฟ้าสะอาดให้สิงคโปร ตนจึงบอกว่า ยังไม่อนุญาต ถ้าจะขายให้เราก็ซื้อหมด

นี่เป็นจุดหนึ่งที่ในฐานะผู้นำเราก็ลำบากใจ เพราะการแข่งขันในโลกการแย่งแหล่งเงินทุน เป็นการแข่งขันที่ค่อนข้างจะโหด เราก็ต้องสู้ ต้องมีจุดยืนที่ชัดเจน เหตุผลที่ตนพูดกับสปป.ลาวเชื่อว่าสะท้อนไปถึงนักลงทุนที่สหรัฐฯและเป็นปัจจัยใหญ่ที่ทำให้เขาอยากจะมาลงทุนที่ไทยมากขึ้น เพราะเรามีความพร้อมในแง่ของพลังงานสะอาด 

นายกฯ กล่าวต่ออีกว่า อีกประเด็นที่สำคัญในเรื่องของดึงดูดนักลงทุนคือเรื่องของค่าไฟฟ้า ซึ่งทุกคนเองก็มีความเดือดเนื้อร้อนใจอยู่พอสมควร รัฐบาลจึงต้องดึงค่าไฟลงมาในระดับสามารถแข่งขันได้ จึงได้พูดคุยกับหลายหน่วยงาน โดยเป้าหมายที่นายพีระพันธ์ุ สาลีรัฐวิภาค รองนายกฯ และรมว.พลังงาน ตั้งไว้คือยากให้ค่าไฟฟ้าอยู่ที่  4.10 บาทต่อหน่วย ซึ่งเชื่อว่าน่าจะทำได้ ก็ต้องค่อยเป็นค่อยไป ไม่อยากให้กระทบกับหลายภาคส่วน ตรงนี้ก็ต้องเห็นใจด้วย  

สุดท้ายนี้ ตนคิดว่าเรื่องพลังงานสะอาดเป็นเรื่องที่ภาคธุรกิจและรัฐบาลนี้ ให้ความสำคัญอย่างสูงสุดในอนาคตพลังงานสะอาดจะเป็นเรื่องที่แฝงอยู่ในมาตรการกีดกันทางการค้า ผ่าน supply change ทั้งหมด ฉะนั้นการทำให้บริษัทของทุกท่านเป็นกรีนอย่างเดียวไม่เพียงพอ แต่การให้องค์ความรู้ ให้ความช่วยเหลือเพื่อดึงบริษัทที่เกี่ยวข้องด้วยมาร่วมในการพัฒนาการใช้พลังงานสะอาด ถือเป็นเรื่องสำคัญ การที่เราจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ป็นภารกิจที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ของทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน เราต้องตื่นตัวเรื่องนี้ตลอดเวลาถึง แม้ต้นทุนการทำธุรกิจอาจจะสูงขึ้น แต่เป็นเรื่องที่เราต้องคำนึงถึงและอยู่มันไปให้ได้ ถือเป็นรื่องที่ดี และเราต้องทำ เพื่อโลกของเรา

 

 

#ค่าไฟฟ้า #พลังงานสะอาด #ค่าไฟ