หลายภูมิภาคของโลกเรา ณ ชั่วโมงนี้ ต้องบอกว่า “ผู้สูงอายุ” เริ่มมีจำนวนมากกว่า “คนวัยหนุ่มสาว” กันหลายพื้นที่แล้ว
    

ด้วยเหตุปัจจัยที่อัตราการเกิดใหม่ของประชากรในหลายๆ ประเทศที่ลดจำนวนลง 
    

แถมมิหนำซ้ำ บรรดาประเทศที่ที่มีประชากรเกิดใหม่มีอัตราลดจำนวนลงนั้น ส่วนใหญ่ก็เป็นประเทศพัฒนาแล้ว ทีมีความเจริญรุดหน้าเป็นประการต่างๆ 
    

เรียกว่า น่าเสียดายแทนประเทศเหล่านั้น ที่มีศักยภาพสร้างสรรค์คุณภาพด้านต่างๆ ให้แก่ประชากร แต่กลับปรากฏว่า ไร้ประชากรใหม่ๆ มาให้จัดการดูแล หรือถ้ามีก็มีในอัตราที่ลดลงเป็นอย่างมาก
  

 ยกตัวอย่างเช่น  “ญี่ปุ่น” ประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก และมีความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีต่างๆ แถมยังมีระเบียบวินัยของประชากรที่ดีเลิศระดับแถวหน้าของโลก แต่ปรากฏว่าในรอบปีที่ผ่านมา ญี่ปุ่นก็เผชิญกับอัตราการเกิดใหม่ของประชากรที่ลดต่ำลงเป็นประวัติการณ์ ด้วยมีตัวเลขต่ำที่สุดในรอบ 40 ปี เลยก็ว่าได้ คือ ต่ำกว่า 800,000 คน ในช่วงรอบปีที่ผ่านมา อันเป็นตัวเลขที่ลดลงเกือบครึ่งหนึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับตัวเลขของเมื่อช่วงปี 1982 (พ.ศ. 2525) ที่ในครั้งนั้น ญี่ปุ่นมีตัวเลขของประชากรเกิดใหม่ที่จำนวนราว 1,500,000 คน 
  

 ทั้งนี้ เมื่อกล่าวตัวเลขอัตราการเกิดใหม่ของประชากรในญี่ปุ่น ก็ต้องบอกว่า ลดน้อยถอยลงมาอย่างต่อเนื่อง ตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่มารุนแรงอย่างสุดๆ เมื่อปีที่แล้ว ดังที่กล่าวข้างต้น
    

เช่นเดียวกับ “จีน” อีกหนึ่งประเทศที่กำลังจะก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจหมายเลขหนึ่งของโลก ด้วยเจริญในด้านต่างๆ ทั้งเศรษฐกิจ และเทคโนโลยีสารพัด ก็กำลังประสบปัญหาอัตรการเกิดใหม่ของประชากรลดจำนวนลงด้วยเช่นกัน
    

โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติจีน รายงานว่า อัตราการเกิดของประชากรใหม่ในจีนลดลง จนส่งผลทำให้จำนวนประชากรจีนลดลงไปด้วย โดยมีตัวเลขการลดลงของประชากรอยู่ที่ 2,080,000 คน หรือคิดเป็นอัตราเฉลี่ยก็ร้อยละ 0.15 ของจำนวนประชากรทั้งหมด 1,409 ล้านคน 
  

 นั่น! เป็นตัวเลขของเมื่อปี 2023 (พ.ศ. 2566) ซึ่งถือเป็นปีที่สองติดต่อกันที่ จีนประชากรลดลง หลังจากที่ปี 2022 (พ.ศ. 2565) จีนมีตัวเลขประชากรลดลง 850,000 คน โดยในปี 2022 นั้น ก็ถือเป็นปีที่แรกที่จีนมีประชากรลดจำนวนลง หรือนับตั้งแต่ปี 1961 (พ.ศ. 2504) เป็นต้นมา ซึ่งเมื่อกว่า 60 ปีที่แล้ว จีนประชากรลดจำนวนลงเพราะเกิดทุพภิกขภัยครั้งใหญ่ในสมัยของประธานสูงสุด “เหมา เจ๋อ ตุง”
    

ส่วนจำนวนประชากรที่ลดจำนวนลงของจีนในห้วงเวลานี้ มาจากการดำเนินนโยบายให้ประชาชนมีลูกคนเดียว นอกจากนี้ ยังมีเหตุปัจจัยอื่นๆ เช่น การย้ายถิ่นฐานจากชนบทมาสู่เมืองใหญ่ต่างๆ ซึ่งมีค่าครองชีพสูงขึ้น รายได้ลดลง เป็นต้น จึงทำให้คนหนุ่มสาวรุ่นใหม่ไม่อยากที่จะมีบุตร ด้วยต้นทุนการเลี้ยงลูกที่สูงขึ้นแตกต่างจากคนรุ่นก่อนๆหน้า    
    

ขณะที่ “สหรัฐอเมริกา” ประเทศมหาอำนาจหมายเลขหนึ่งของโลก พี่เบิ้มใหญ่ของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วของโลกตะวันตก ก็ปรากฏว่า มีอัตราการเกิดใหม่ของประชาชกรลดจำนวนลงอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จนล่าสุด สหรัฐฯ มีตัวเลขของอัตราการเกิดใหม่ของประชากรลดลงถึงร้อยละ 27 
    

นอกจากนี้ บรรดาประเทศสหภาพยุโรป หรืออียู ซึ่งเป็นอีกหนึ่งของภูมิภาคที่กล่าวกันว่า เป็นกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว และมีความเจริญก้าวหน้าด้านต่างๆ ก็ประสบกับปัญหาอัตราการเกิดใหม่ของประชากรที่ลดลงแทบจะทุกประเทศในภูมิภาคแห่งนั้นอีกเช่นกัน 
    

เมื่ออัตราการเกิดใหม่มีจำนวนหดตัวเช่นนี้ ก็ส่งผลให้บรรดาประเทศเหล่านี้ ต้องเผชิญกับปัญหามีประชากรสูงวัยเพิ่มขึ้นตามมา จนหลายประเทศผู้งสูงวัยก็มีจำนวนประชากรในวัยหนุ่มสาว เพราะจำนวนคนหนุ่มสาวขาดช่วงขาดตอนไป
    

ทำให้ทาง “องค์การอนามัยโลก” หรือ “ดับเบิลยูเอชโอ” หรือที่มักเรียกกันสั้นๆ ว่า “ฮู” (WHO : World Health Organization) ต้องออกมาเตือนให้บรรดาประเทศต่างๆ ที่กำลังประสบปัญหาคนสูงวัยมีจำนวนมากกว่าคนหนุ่มสาว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เหล่าประเทศในภูมิภาคยุโรป ที่เห็นช่องว่างเด่นชัดที่สุดภูมิภาคหนึ่ง ให้ออกมาตรการ หรือนโยบาย ในการจัดการดูแลประชากรคนสูงวัยเหล่านั้น ให้มีสุขภาพอนามัยที่ดี
  

 ทั้งนี้ ก็เพราะเป็นธรรมดาที่บรรดาคนสูงวัยเหล่านี้ มักจะโรคประจำตัวสารพัด ซึ่งเป็นไปตามวัย ที่เมื่อสูงขึ้น ก็สวนทางกับสุขภาพที่เสื่อมโทรมลง 
    

แถมมิหนำซ้ำผู้สูงวัยหลายก็มีอาการเจ็บป่วยแบบเรื้อรังต่อเนื่องยาวนานอีกต่างหากด้วย
    

โดยคำประกาศแจ้งเตือนขององค์การอนามัยโลก นอกจากมีไปยังทางการประเทศต่างๆ ให้จัดมาตรการ หรือนโยบายรองรับต่อประชากรสูงวัยเหล่านี้แล้ว ทางดับเบิลยูเอชโอ ก็ยังมีเสียงกระตุ้นเตือนไปยังประชากรผู้สูงวัยในประเทศต่างๆ ด้วยว่า ต้องดูแลสุขภาพของตนเองให้ถูกสุขลักษณะด้วย ตลอดจนการดำเนินชีวิตต่างๆ ให้เป็นอย่างถูกสุขลักษณะไม่ก่อให้เกิดโรคภัยต่างๆ ตามมา
  

 ทั้งนี้ ถ้อยแถลงขององค์การอนามัยโลก ได้แสดงทรรศนะเกี่ยวกับสุขภาพของบรรดาผู้สูงวัยไว้ด้วยว่า สาเหตุปัจจัยประการหนึ่ง ที่ทำให้ผู้สูงวัยถูกโรคภัยไข้เจ็บรุมเร้า แถมบางรายก็กลายเป็นผู้ป่วยเรื้อรังไปเลยก็มีนั้น ก็มาจากการที่บรรดาผู้สูงวัยเหล่านั้น ขาดการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ นั่นเอง     
    

นอกจากนี้ ก็ให้ระมัดระวังเรื่องอาหารที่รับประทาน ให้เหมาะควรแก่วัย เช่น มีความสดใหม่ มีคุณค่าทางโภชนการครบถ้วนตามที่ร่างกายต้องการ
    

ทางด้าน บรรดานักวิเคราะห์แสดงทรรศนะว่า การที่ทางการของประเทศต่างๆ ลงทุนจัดสรรงบประมาณเพื่อมาดูแลกลุ่มคนสูงวัยให้มีสุขภาพอนามัยแข็งแรงอย่างนี้ ดีกว่าการที่จะรอให้พวกเขาเหล่านี้ล้มป่วย แล้วไปจัดสรรดูแลด้านการพยาบาล ซึ่งเป็นการจัดการที่ปลายเหตุ