เมื่อวันที่ 27 ม.ค. 2567 นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊คไลฟ์ประเมินการเมืองหลัง 18 ก.พ. ซึ่งนักโทษชั้น 14 รพ.ตำรวจกลับบ้านว่า จะส่งผลการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ช่วง ก.พ.-มี.ค.นี้ และก่อน สว.ครบวาระ 11 พ.ค.สถานการณ์อำมหิตการเมืองจะไหลหลากพัดถล่มนายเศรษฐา ทวีสิน จนต้องหอบสัมภาระออกจากทำเนียบรัฐบาลกลับบ้านไม่เกินสงกรานต์เมษายนนี้

นาจตุพร กล่าวว่า เราต้องการให้รัฐบาลรอด แต่ภายใต้รัฐบาลที่มาไม่ถูกต้อง จึงเป็นรัฐบาลแบบลูกผิดลูกคน ดูเสมือนจริงแต่ไม่จริง บริหารบ้านเมืองแบบประหลาดไร้งบประมาณ จนทำให้ปัญหาของประเทศไปไกลมาก ยิ่งหลัง 18 ก.พ. นี้ นักโทษชั้น 14 ซึ่งไม่รู้อยู่จริงหรือไม่ แต่จะได้กลับบ้าน โดยได้รับการพักโทษ ไม่ได้อาศัยช่องทางระเบียบราชทัณฑ์ใช้บ้านเป็นคุก

ดังนั้น เกมการเมืองถัดจากนี้จะเห็นของจริงขยับเกิดขึ้นตามลำดับ และต้องติดตามว่า ถ้าเบี้ยวดีลจะนำไปสู่หลากหลายเหตุการณ์ตามมาจริงหรือไม่ ยิ่งรัฐบาลนี้บริหารแบบไม่มีความสำเร็จออกมาสักเรื่องเดียว ย่อมทำให้ต้นทุนความน่าเชื่อถือติดลบ ผู้คนทั่วสารทิศสะสมความผิดหวังเอาไว้มากมาย ทั้งการตระบัดสัตย์เรื่องเก่าแล้วที่ตามมาใหม่อีก

อีกทั้ง กล่าวว่า ความสำเร็จของรัฐบาลมีสิ่งชี้วัดกับคำพูดที่พูดไว้ ถ้าทำตามสิ่งที่พูด ที่ประกาศไว้จะเป็นปัจจัยความสำเร็จ แต่รัฐบาลนี้ยังไม่เคยทำในสิ่งที่พูดเอาไว้ จึงไม่มีความสำเร็จออกมาให้เห็นจากการบริหารประเทศมากว่า 9 เดือน “ตั้งแต่ ก.พ.-มี.ค.นี้ ผมเชื่อว่าการเมืองกระดานร้อน แม้หลายคนประเมินแค่จะมีการปรับ ครม. แต่ความจริงคือการปรับรัฐบาล และคนเพิ่งเป็น รมต.รอบเดียวจะไม่ได้ไปต่อ ซึ่งน่าเห็นใจที่สุดที่มีหน้าที่แค่ไปเปิดงาน"

นายจตุพร กล่าวว่า สถานการณ์สองเดือนช่วง ก.พ.-มี.ค. สภาพรัฐบาลจะร้อนรุมมากขึ้น แม้ไม่มีอะไรมาอธิบายอย่างสมเหตุผล แต่มันคือข้อตกลงที่แลกกับความสูญเสียมากมาย สิ่งสำคัญกระบวนการยุติธรรมถูกทำลายย่อยยับ เราจึงมองเห็นว่า ถ้าไม่มีการปรับบ ครม.ให้สอดคล้องกับสถานการณ์โลกที่เกิดขึ้น จะมีปัญหาตามมามากที่สุด 

รวมทั้งถามว่า ประชาชนจะไปฟังรัฐบาลต้องการอยู่ 4 ปีได้อย่างไรกัน และเราอยู่อย่างเชื่อโครงการดิจิทัลวอลเล็ตจะแจกเงินได้อย่างไร เมื่อรัฐบาลเอาแต่ประกาศเลื่อนไปเดือนนั้น เดือนนี้ เดือนหน้า ทั้งที่ยังไม่เริ่มแจกเงินสักเดือน
"เมื่อเข้าเขตเดือนมีนา หลังจาก 18 ก.พ.ที่ (คนชั้น 14) จะกลับบ้าน วันใดที่คิดเสนอ ครม.เพื่อตรา พรก.เงินกู้ 5 แสนล้าน วันนั้นคือวันจบของนายกฯ คนนี้ เพราะนั่นเป็นทางลงที่เบาที่สุด แต่ถ้ามีนายังไม่มีการเสนอเรื่องนี้ และยังไม่มีการปฏิบัติการสิ่งใด เราจะเห็นความอำมหิตจะเริ่มต้นขยับอย่างรุนแรง"

พร้อมทั้งกล่าวว่า ความอำมหิตรุนแรงจะถูกอธิบายด้วยเหตุการณ์ที่ยังไม่เกิดก็จะเกิดขึ้น แม้ช่วงนี้อยู่ในห้วงยุทธการฟ้าใส เพราะยังเป็นไปตามข้อตกลงที่ดีลกันไว้อยู่ แต่บางเรื่องไปเถิดเลยกว่าข้อตกลงต้องรับผิดชอบกันเอาเอง เช่น กลับบ้านไม่ติดคุกแม้แต่วันเดียวก็ต้องรับแรงเสียดทาน ถูกประณามเรื่องอภิสิทธิ์ชน สองมาตรฐาน และเรื่องขบวนการยุติธรรมถูกย่ำยี่

นายจตุพร กล่าวว่า สิ่งที่น่าสนใจคือ เมื่อมีการเปลี่ยนรัฐบาลภายใต้พรรคโครงสร้างรัฐบาลเดิมจะไปอยู่ไม่ครบทั้งหมด ซึ่งจะเป็นการเมืองในลักษณะประหลาดอีกรอบหนึ่ง ดังนั้น จึงมีสองทาง โดยทางหนึ่งเดินหน้ากับรัฐบาลใหม่ และอีกทางหนึ่งจะทำหน้าที่ฝ่ายค้านหรือฝ่ายอะไรก็ไม่รู้  "(ด้วยโครงสร้างการเมืองประหลาด) เราจะเจอการเมืองที่จะหนักกว่า 22 ส.ค. (ดีลทักษิณกลับบ้าน เศรษฐา เป็นนายกฯ) แม้ได้เป็นรัฐบาลจริงมีงบประมาณบริหารประเทศ แต่ประสิทธิภาพต่างๆ คนที่อยู่วงนอกหลายคนจะกลับเข้ามา คนที่อยู่วงในบางส่วนก็ต้องออกไป อีกทั้งคนที่จะเป็นนายกฯ ต้องไม่มีบาดแผลในอดีตทั้งเรื่องซุกธุรกรรมการเงินที่ขัดกฎหมายไว้มากมาย”

นายจตุพร กล่าวว่า การเมืองรอบต่อไปนี้ ก่อน สว.จะพ้นวาระจะมีทางเลือกอยู่สองทางคือ เลือกนายกฯ ใหม่ หรืออภิปรายทั่วไป ถ้าเลือกนายกฯ ใหม่ก็ไม่ได้อภิปรายทั่วไป สิ่งนี้เกิดจากการดีลจึงไม่มีเหตุผลมาอธิบาย เพราะดีลเป็นข้อตกลงปลงใจให้แก่กันว่าจะเอากันแบบนี้ คือ แบบกลับบ้านไม่ติดคุกสักวัน ไม่เช่นนั้นนายเศรษฐา จะได้เป็นนายกฯ ประหลาดๆ เหรอ 

ดังนั้น การดีลแบบนี้จะมีช่วงการสูญเสียมากอีกด้วย เพราะ สว.จะไม่ยอมให้รัฐบาลเดินไปด้วยสภาพแบบนี้ ซึ่งบ้านเมืองเกิดสูญเสียมากมาย ส่วนคนบางคนว่าจะควบคุมได้ก็ต้องดูกันเป็นระยะ เพราะการเมืองลักษณ์นี้ไม่มีอะไรบัดสีบัดเถลิงได้เท่ากับรอบนี้แล้ว สิ่งที่ต้องพิสูจน์แค่ระยะเวลาสองเดือนช่วง ก.พ.-มี.ค.นี้ โดยบางเรื่องบางเหตุการณ์จะเกิดขึ้นแบบแปลกประหลาดไม่คาดคิดเลย

"มีข่าวแวว ซึ่งไม่เกี่ยวกับศาลว่า การชี้ชะตาพรรคก้าวไกลจะหลุดคดีล้มล้างการปกครองหรือไม่ โดยประเมินว่า อาจมีการเตือนว่า (แก้ ม.112) อาจสุ่มเสี่ยงเข้าข่ายล้มล้างการปกครอง แต่ยังไม่ได้ล่้มล้างการปกครอง ซึ่งแต่ละฝ่ายเริ่มมองเห็นอาการนี้เช่นกัน ทั้งที่โดยข้อเท็จจริงแล้ว การแก้ไข ม.112 ไม่มีอะไรน่ากลัวเลยเพราะอย่างไงก็ไม่ผ่านอยู่แล้ว เมื่อเข้าที่ประชุมสภาก็ประชุมลับ ไม่มีใครได้ยิน มีการเสนอปิดอภิปราย สุดท้ายมีมติไม่ผ่านสภาก็เท่านี้"

นายจตุพร กล่าวว่า ประเด็นการเมืองต่อไป พรรคก้าวไกลจะได้เปรียบอย่างมาก หาก สว.มีเลือกตั้งจะถูกกวาดเรียบ ดังนั้น ถ้าเพื่อไทยจะสู้แล้ว ต้นทุนที่มาจากการตระบัดสัตย์ย่อมสู้ไม่ได้ เพราะเป็นต้นทุนติดลบ และการรวมพลังเหลืองแดงแล้วจะสู้กันอย่างไง
"คนเราเมื่อเกิดผิดหวังมาก และมีคนมาจากทั่วสารทิศ ดังนั้นเมื่อการเมืองเป็นความหวังเดียว และเป็นที่ที่มีความหวัง จึงไม่สนใจว่าความหวังข้างหน้าคืออะไร นี่คือสภาพที่เกิดขึ้นอยู่จริง อีกฝ่ายหนึ่งที่ถูกเรียกว่า เป็นตัวแทนอนุรักษ์ใหม่แต่ทำตัวเหมือนบริษัทจะปิดกิจการจึงสู้ไม่ได้ ถ้าจะสู้ต้องแข็งแรงกว่า มีความน่าเชื่อถือกว่า ซึ่งสภาพกลับตรงกันข้ามเลย ใครวางแผนเป็นตัวแทนอนุรักษ์ใหม่กัน คุณหามมาส่งอย่างนี้ได้อย่างไร"

พร้อมกล่าวว่า ดังนั้นคนที่ผิดหวังกับสังคม จึงเทใจไปให้อีกพรรคหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ถ้าจัดความสัมพันธ์ไม่สมดุลกันแล้ว อาจจะเกิดเหตุการณ์แบบ 22 พ.ค. 2557 อีกครั้งหนึ่งก็เป็นไปได้ ซึ่งนักประชาธิปไตยอาจไม่คิด แต่การเมืองไม่มีอะไรแน่นอน เพราะถ้าผิดดีลจะเกิดเหตุไม่คาดฝันได้ บทเรียนยุครัฐบาลชาติชาย ชุณหะวัณ มีให้จดจำ จนต้องมีคนเข้ามาจัดการเพื่อรักษาหน้าไว้ แล้วจะกลายเป็นปัญหาใหม่ขึ้นมา

นายจตุพร กล่าวว่า เมื่อสถานการณ์ภายนอกประเทศมีความรุนแรงมากขึ้น ถ้าปัจจัยภายในประเทศจัดการไม่ได้ แล้วจะเดินกันไปอย่างไร ดังนั้น ในอีกสองเดือนถัดจากนี้ย่อมมีทั้งโอกาสจัดการได้และจัดการไม่ได้ แต่ถ้าดีลเกิดผิดเหลี่ยมแล้ว เราจะเจออะไรอย่างไม่คาดฝันอีก
“สถานการณ์จากนี้น่าจับตาตั้งแต่หลัง 18 ก.พ. ไป โดยชั้น 14 กลับบ้าน เดือนมีนาและไม่เกินสงกรานต์เดือนเมษา นายเศรษฐา ก็จะกลับบ้าน ถ้าผิดไปจากนี้ จะต้องดูปฏิบัติการจัดการอีกหลากหลายรูปแบบ (ก่อน สว.พ้นวาระ 11 พ.ค.) เพราะทั้งหมดคือข้อตกลง เมื่อผิดข้อตกลงจึงต้องเจอเรื่องระดับทอร์นาโดการเมืองอย่างคาดไม่ถึง"

ขอบคุณ:รายการประเทศไทยต้องมาก่อน