วันที่ 30 มกราคม 2567 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.ต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี  ถึงผลการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ (ASEAN Foreign Ministers’ Retreat: AMM Retreat) ที่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ว่าได้มีการหารือในประเด็นสถานการณ์ความรุนแรงในเมียนมา ซึ่งทางเมียนมาได้ส่งข้าราชการในระดับปลัดกระทรวงมาเข้าร่วม โดยทางการไทยเองได้เสนอพื้นที่สำหรับจัดตั้งการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมระหว่างชายแดนไทย-เมียนมา หลังจากพูดคุยกับรัฐบาลเมียนมาอย่างเป็นระยะๆ

นายปานปรีย์ กล่าวอีกว่า กระทรวงการต่างประเทศไทยยังได้มีการประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น สภากาชาดไทย สภากาชาดเมียนมา รวมถึงสภากาชาดระหว่างประเทศ ซึ่งสภากาชาดไทย และเมียนมาจะเข้ามาดำเนินการก่อน ส่วนสภากาชาดระหว่างประเทศจะเข้ามาทีหลัง โดยเหตุผลที่ต้องนำสภากาชาดเข้ามาเกี่ยวข้องนั้น ก็เพื่อให้การช่วยเหลือมนุษยธรรมแก่ประชาชนเป็นไปเพื่อความโปร่งใส และปราศจากการแทรกแซงทางการเมือง

สำหรับการกำหนดเขตพื้นที่มนุษยธรรมนั้น นายปานปรีย์ กล่าวว่า จะไม่เริ่มจากพื้นที่ตลอดแนวชายแดน เพราะพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมานั้น มีความยาวกว่า 2,000 กม. ดังนั้นจึงเริ่มจากพื้นที่ใน จ.ตาก ซึ่งวันที่ 8-9 ก.พ. นี้ จะลงพื้นที่ไปตรวจดูความเรียบร้อย โดยเหตุผลที่เลือก จ.ตาก เนื่องจากเป็นพื้นที่ไม่ใหญ่มากนัก ซึ่งมองว่า ถ้าในส่วนนี้ประสบความสำเร็จก็จะขยายไปในพื้นที่อื่นๆ

ขณะที่มาตรการการป้องกันไม่ให้ประเทศที่ 3 หรือประเทศมหาอำนาจเข้ามาแทรกแซงการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมนั้น ปานปรีย์ กล่าวว่า ได้มีการพูดคุยกับ หวัง อี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจีน และ เจค ซัลลิแวน ที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐอเมริกา ซึ่งทั้งสองก็เห็นด้วยกับแนวทางที่ทางการไทยเป็นผู้ริเริ่ม ยืนยันว่า การจัดตั้งพื้นที่มนุษยธรรมนั้น ตั้งแต่ริเริ่มแนวคิด จนถึงวันนี้ยังไม่มีใครปฏิเสธ

ส่วนหลักการการไม่แทรกแซงกิจการภายในประเทศของกลุ่มประเทศอาเซียน ซึ่งถูกตั้งคำถามถึงสิทธิมนุษยชนในเมียนมานั้น นายปานปรีย์ กล่าวว่า หลักการดังกล่าวเป็นหลักการที่กลุ่มประเทศอาเซียนให้ความสำคัญ โดยมองว่าปัญหาความรุนแรงในเมียนมาเป็นปัญหาภายใน ซึ่งเมียนมาต้องแก้ไขด้วยตนเอง