วันที่ 12 ก.พ.2567 ที่รัฐสภา นายวันชัย สอนศิริ สมาชิกวุฒิสภา (สว.) กล่าวถึงกรณีที่ยังมีความเห็นต่างเกี่ยวกับร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรม ที่มีความเกี่ยวข้องกับความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ว่า ตนเองเห็นด้วยกับ พ.ร.บ.นิรโทษกรรม เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น 20 ปี อะไรที่จบได้ควรจบ เลิกได้ควรเลิก ยุติได้ควรยุติ อย่าให้เป็นบาดแผลที่มีอยู่ในสังคมไทยอีกเลย แน่นอนว่าการเผาทำลายอาคารบ้านเรือนต่างๆ เกิดขึ้นแล้ว ซ่อมแซมไปแล้ว คนบาดเจ็บล้มตายก็ต้องหาวิธีการเยียวยากันต่อไป แต่ความเห็นทางการเมืองที่ไม่ตรงกัน อาจเกิดการพูดจารุนแรง ทั้งทางกาย วาจา และความรู้สึก แต่ผ่านมาเกือบ 20 ปีแล้ว จะให้เรื่องแบบนี้เป็นบาดแผลในสังคมไทยไปทำไม 

"ผมมองว่าถ้าจบแล้วเราเริ่มนับหนึ่งกันใหม่ ในบรรยากาศการเมืองเช่นนี้เหมาะอย่างยิ่ง เพราะการโหวตให้นายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี และพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ เป็นปฐมบทที่ชัดเจนของการปรองดอง สมานฉันท์ เหมือนเป็นการนิรโทษกรรม แดง-เหลือง นปช.-กปปส. ในตัวอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น เรื่องแบบนี้รัฐบาลควรจะทำให้เป็นรูปธรรมในทางกฎหมาย อย่าสักแต่ว่าพูดกันไป แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเป็นรูปธรรม" นายวันชัย กล่าว

เมื่อถามว่าประเด็นการนิรโทษกรรม ม.112 เป็นประเด็นทางการเมืองหรือไม่ นายวันชัย กล่าวว่า แน่นอน บางคนบอกว่า คดีอะไรที่รุนแรง และคดีอะไรที่เป็นความผิดอาญาร้ายแรง จะต้องมีคณะกรรมการไปพิจารณาร่วมกัน และหาความพอดีทางกฎหมายที่เกิดขึ้น อย่าปล่อยให้คาราคาซังกันต่อไป ถ้าเราจะแยกแยะ ม.112 มันมีเหตุผลทั้งทางการเมือง และทางกฎหมาย ที่เราออกมาโต้แย้งกันได้ แต่สามารถหาความพอดีได้ หาข้อยุติได้ ตนเชื่อว่าผู้มีอำนาจที่เป็นรัฐบาล สามารถพิจารณา และรู้ได้ว่า ม.112 เป็นเรื่องที่อ่อนไหว เป็นเรื่องที่สำคัญ ควรรู้ว่ากระทำอย่างไรแล้วเหมาะสม และควรรู้ว่าทำด้วยวิธีการใดแล้วผลออกมาก่อให้เกิดความปรองดองสมานฉันท์ได้ มีหลายวิธีในอดีตเป็นตัวอย่าง ม.112 ที่สามารถทำให้จบลงได้ด้วยดี ตนอาจไม่ได้พูดถึงขนาดให้เป็นประเด็นชัดเจน 

“ผมเชื่อว่าผู้มีอำนาจสามารถหาความพอดีต่อ ม.112 และทำให้เกิดความปรองดอง ส่วนที่เห็นว่ามีการปะทะกัน หรือความเห็นแตกแยกทางความคิดของกลุ่มคนต่างๆ เป็นปรากฏการณ์ทางการเมืองปกติในระบอบประชาธิปไตย ไม่น่าจะถือว่าเป็นเรื่องใหญ่เรื่องโต เรื่องที่จะทำให้ประเทศเกิดความสงบ เพื่อทำให้เกิดความปรองดองต่อกัน รัฐบาลจะต้องทำเป็นเป้าหมายใหญ่ และเป้าหมายสำคัญ

ไม่ใช่ว่าเป็นรัฐบาลกันแล้ว เคยพูดเรื่องปรองดองในสมัยที่เป็นฝ่ายค้าน พอเป็นรัฐบาลแล้ว ก็ลอยนวลไปเรื่อย ดึงเวลาไปเรื่อย ผมว่าไม่น่าที่จะเป็นการกระทำของคนที่เป็นรัฐบาลพึงกระทำ ผมเห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ และสำคัญที่สุด ที่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทย ควรเอาเรื่องการปรองดองมาเป็นหัวใจในการผลักดัน ไม่ใช่เช้าก็มาพูดเรื่องดิจิทัลวอลเลต ซึ่งไม่ได้ก่อให้เกิดความปรองดองสมานฉันท์เท่าไหร่ รังแต่จะขยายความขัดแย้งไปมา” นายวันชัย กล่าว