วันที่ 14 ก.พ.2567 ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่1 ทำหน้าที่ประธานการประชุม ได้พิจารณาญัตติด่วนด้วยวาจา ขอให้รัฐบาลเร่งดำเนินการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบังคับใช้กฎหมาย ทบทวนระเบียบแผน และมาตรการ การถวายความปลอดภัยขบวนเสด็จให้เหมาะสม ทันสมัย มีการฝึกซ้อม และประชาสัมพันธ์สื่อสารกับประชาชน เป็นการถวายความปลอดภัยให้สมพระเกียรติยศ เพื่อรักษาไว้ซึ่งสถาบันหลักของชาติ 

ต่อมานายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวว่า การดูแลความปลอดภัย และการอารักขาบุคคลสำคัญไม่ว่าจะเป็นพระราชอาคันตุกะ หรือแขกของรัฐบาลเป็นหน้าที่ของรัฐ รัฐบาลต้องไม่ปล่อยให้เกิดการดังกล่าวเกิดขึ้นในระหว่างสัญจรได้ จึงจำเป็นต้องมีมาตรการที่เป็นมาตรฐานในการอารักขา และกระบวนการในการอารักขาในการเสด็จพระราชดำเนินของกรมสมเด็จพระเทพฯ ก็เป็นกระบวนการตามปกติ แต่สิ่งที่เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องตระหนักอยู่ในใจเสมอคือการพยายามให้กระบวนการอารักขามีประสิทธิภาพสูงที่สุด ส่งผลกระทบต่อประชาชนน้อยที่สุด ไม่ว่าคนไปทำงาน หรือไปพบแพทย์ หรือคนที่มีเหตุเร่งด่วนต่างๆเขาก็มีสิทธิวิพากษ์วิจารณ์ โดยที่ไม่อาจจะรู้ด้วยว่าขบวนเสด็จอยู่ข้างหน้า จะปิดปากประชาชนไม่ให้พูดไม่ได้ จะบังคับประชาชนไม่รู้สึกอะไรเลยไม่ได้ 

นายวิโรจน์ กล่าวว่า การจะปกป้องสถาบันเจ้าหน้าที่ตำรวจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการอารักขา ซึ่งทางออกที่เป็นรูปธรรมที่สุดต้องมีการทบทวนพ.ร.บ.การถวายความปลอดภัย ปี 2560 โดยเฉพาะมาตรา 5 สภาฯควรจะเพิ่มเติมให้การปฏิบัติงานถวายความปลอดภัยคำนึงถึงประชาชนไม่ให้ได้รับผลกระทบที่มากเกินควร และเตรียมแผนอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนในกรณีที่จำเป็น จึงจะทำให้ทันยุคสมัยและไม่ส่งกระทบต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งตนก็เคารพวิจารณญาณ และดุลพินิจของผู้กระทำ ซึ่งเขาอาจจะฟังบางส่วน หรือไม่ฟังเลย ตนก็น้อมรับ และเคารพเสียงวิพากษ์วิจารณ์เช่นเดียวกัน ตนคิดว่าคนที่ปรารถนาดีต่อกันต้องกล้าพูดในสิ่งที่มีเหตุมีผล แม้บางคนอาจจะไม่อยากฟังก็ตาม คนที่ปรารถนาดีไม่จำเป็นต้องเห็นตรงกันทุกเรื่อง การกล้าที่แสดงความเห็นต่างให้เขาได้รับรู้และไตร่ตรองคือความปรารถนาดีที่แท้จริง 

นายวิโรจน์ กล่าวอีกว่า การใช้ความรุนแรงทำร้ายผู้อื่น โดยอ้างว่าเพื่อปกป้องสถาบัน ทำร้ายผู้อื่นเพราะจงรักภักดี เป็นพฤติกรรมที่เป็นอันตรายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ หากรัฐปล่อยให้กลุ่มคนนิยมความรุนแรงเหล่านี้ลอยนวล มีอำนาจบาดใหญ่ อ้างสถาบันพระมหากษัตริย์ไปทำร้ายคนคิดต่างอย่างไรก็ได้ โดยที่กฎหมายไม่สามารถเอาผิดได้ มีแต่จะทำให้สถาบันเสื่อมเสียพระเกียรติยศ ทำให้ภาพลักษณ์คนที่ยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญเห็นดีเห็นงามกับความรุนแรงไปด้วย และจะส่งผลในทางลบต่อความสัมพันธ์อันดีระหว่างสถาบันพระมหากษัตริย์กับประชาชนด้วย

“รัฐบาลต้องบังคับใช้กฎหมายจัดการกับกลุ่มคนเหล่านี้อย่างจริงจัง ไม่ให้มีพฤติกรรมกล้านำเอาสถาบันพระมหากษัตริย์มาใช้เป็นเครื่องมือทำร้ายคนตามใจชอบ ถ้าพฤติกรรมแบบนี้เป็นคนดี และถ้าคนดีเหล่านี้เป็นล้านๆคนจะเกิดอะไรขึ้นสถาบันพระมหากษัตริย์ ถ้านำสถาบันพระมหากษัตริย์ถูกนำมาเป็นความขัดแย้งแบ่งฝักแบ่งฝ่ายแล้วสถาบันพระมหากษัตริย์จะยั่งยืนได้อย่างไร การบังคับใช้กฎหมายต้องมีความเสมอภาค ไม่ใช่เอากฎหมายไปเล่นงานอีกฝ่ายหนึ่งจัดหนัก จัดเต็ม แต่อีกฝ่ายอยู่เหนือกฎหมาย หรือสองมาตรฐานที่เกี่ยวพันกับสถาบันพระมหากษัตริย์ จะทำให้ประชาชนจะรู้สึกอย่างไร" นายวิโรจน์ กล่าว 

นายวิโรจน์ กล่าวว่า สิ่งที่รัฐบาลต้องเร่งทำให้เป็นรูปธรรมคือการสร้างพื้นที่ปลอดภัยในการพูดคุยเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ไม่ใช่แค่สภาฯ แต่ต้องเป็นเวทีสาธารณะด้วย เพื่อให้พูดถึงด้วยเจตานาสุจริต อย่างมีวุฒิภาวะ ไม่มีการจับผิด หรือใช้กฎหมายกลั่นแกล้งรังแกกัน หากไม่มีพื้นที่ปลอดภัย และใช้ความรุนแรง ยิ่งแช่งชักหักกระดูก สร้างความเกลียดชัง ผลักคนเห็นต่างเป็นศัตรู ป้ายสีให้เขาเป็นภัยความมั่นคง การแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ต่าง ๆที่พวกเราไม่สบายใจก็จะเกิดขึ้นเรื่อย ๆซึ่งรัฐบาลจะปล่อยให้สภาวะแบบนี้เกิดขึ้นไม่ได้ เราใช้น้ำมันดับไฟไม่ได้ ความรุนแรงไม่เคยแก้ไขความรุนแรงได้ มีแต่จะทำให้บานปลาย

ทุกความขัดแย้งในโลกนี้ล้วนแก้ไขด้วยการพูดคุย ก็จะเข้าใจกันและที่สุดก็จะเกิดทางออกที่ทุกฝ่ายเห็นพ้องต้องกันด้วยสันติ ด้วยสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ในหลายวงสนทนาเวลาที่เอ่ยถึงสถานบันพระมหากษัตริย์แม้จะเอ่ยด้วยความสุจริตก็ตามก็จะมีบางคนในวงสนทนามีอากับกริยาแบบนี้ (พร้อมทำปากมีเสียงออกจุ๊..)สะท้อนว่าการพูดถึงสถาบันพระมหากษัตริย์กลายเป็นเรื่องต้องห้ามไปแล้ว หากปล่อยให้เป็นอย่างนี้ยิ่งทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ห่างเหินจากประชาชนออกไป  บั่นทอนแรงยึดเหนี่ยวจิตของสถาบันพระมหากษัตริย์มีต่อประชาชนอย่างที่เคยเป็นมา 

“เลิกได้แล้วกับคำกล่าวหาเลื่อนลอยว่ามีคนนั้นคนนี้อยู่เบื้องหลัง คำกล่าวหาลักษณะนี้เป็นการดูถูกประชาชนอย่างสิ้นเชิง ทำไมไม่ตั้งคำถามกับกลุ่มที่ใช้ความรุนแรงบ้าง ทำคนมากี่คน กฎหมายก็ไม่สามารถเอาผิดได้ อย่างนี้ต่างหากที่มีผู้สงสัยว่าผู้มีอำนาจที่คอยให้ท้ายให้คนเหล่านี้กระทำความรุนแรงโดยไม่เกรงกลัวกฎหมาย ผมเชื่อว่าหลายคนที่ฟังผมอยู่ทางบ้าน บางคนไม่สบายใจและด่าทออยู่ในใจ ผมน้อมรับ แต่ถ้าฟังด้วยใจที่เป็นกลาง และคิดตามในสิ่งที่ผมจะพยายามสื่อสารก็จะทราบดีว่าผมมีความปรารถดีต่อระบอบประชาธิปไตยและสถาบันพระมหากษัตริย์ และประสงค์ที่จะทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ทรงสถิตย์สถาพรอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญของประชาชนตราบนิรันดร์” นายวิโรจน์ กล่าว