“สส.กระบี่” หนุน สสส.รณรงค์สื่อสาร 3 ทางสร้างสรรค์ “เปิดพื้นที่ให้ลูกเป็นตัวของตัวเอง-อยู่เคียงข้างเมื่อเจอปัญหา-พร้อมสนับสนุนสิ่งที่ลูกเป็น ขณะที่ "กมธ.สธ." วอนพ่อแม่เข้าใจช่องว่างความรักระหว่างวัยในครอบครัว แนะ 3 ข้อสร้างครอบครัวอบอุ่น “เข้าใจ-อย่าเปรียบเทียบ-อย่าออกคำสั่ง”

วันที่ 14 ก.พ.2567 เวลา 10.00.น.ที่รัฐสภา นพ.ทศพร เสรีรักษ์ สส.แพร่ พรรคเพื่อไทย และประธานคณะกรรมาธิการการสาธารณสุข สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงการสื่อสารแสดงความรักระหว่างบุคคลภายในครอบครัวเนื่องในเทศกาลวันวาเลนไทน์ว่า เด็กๆและเยาวชนสมัยนี้ต่างไปจากเด็กสมัยก่อนอยู่มาก ซึ่งเยาวชนสมัยนี้ทุกรู้เรื่อง ไม่ว่าจะเรื่องความรัก หรือเรื่องต่างๆก็รู้เหมือนกับผู้ใหญ่ เพียงแต่เด็กจะยังขาดสติ ขาดประสบการณ์ที่จะยับยั้งชั่งใจ ดังนั้นพ่อแม่หรือผู้ปกครองก็ต้องทำความเข้าใจกับลูกๆหลานๆ คอยแนะนำเรื่องการมีความสัมพันธ์กับใครควรปฏิบัติอย่างไรให้เหมาะสมกับวัย รวมทั้งเรื่องของสุขภาวะทางจิตใจก็ถือว่าสำคัญมาก เพราะสมัยนี้โซเชียลมีเดียและการสื่อสารทั้งหลายทุกเพศทุกวัยเข้าถึงหมด ทำให้เด็กรับข้อมูลมาจากหลายๆด้านมากมาย เพราะฉะนั้นบางทีเด็กอาจไม่ฟังพ่อแม่ที่มีประสบการณ์มาก ขณะที่โลกปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงมากขนาดนี้ ตรงนี้ต้องทำความเข้าใจและถนอมความรักระหว่างพ่อแม่กับเด็กดีๆ ต้องใจเย็นกับเขา ต้องช่วยกันแนะนำประคับประครองให้เขาผ่านไปให้ได้ ต้องไม่เอาประสบการณ์ของตัวเองมาตัดสินเด็กเด็ดขาด โดยเฉพาะการสื่อสารกับลูกๆควรเข้าใจวัยของเขา ไม่ควรเอาลูกตัวเองไปเปรียบเทียบกับใคร เพราะเด็กแต่ละคนมีวิถีการเติบโตมาไม่เหมือนกัน

นายสฤษฎ์พงษ์ เกี่ยวข้อง สส.กระบี่ พรรคภูมิใจไทย และประธานคณะกรรมาธิการการแรงงาน สภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่าวันนี้ 14 กุมภาพันธ์หรือเป็นวันวาเลนไทน์ถือว่าเป็นวันสำคัญทางด้านจิตใจ อย่างไรก็ตามการแสดงความรักที่แท้จริงควรต้องแสดงกันทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นความรักระหว่างพ่อแม่กับลูก หรือลูกกับพ่อแม่ หรือระหว่างญาติพี่น้องและเพื่อนฝูง ตนเข้าใจว่าวันที่ 14 กุมภาพันธ์เป็นเรื่องของการสำรวจใจว่าที่ผ่านมานั้นเรามีใจในความรักต่อคนในครอบครัวมากน้อยแค่ไหนอย่างไร และเห็นด้วยที่ สสส.สื่อสารรณรงค์ต่อเนื่อง ไม่ว่า การเปิดพื้นที่ให้ลูกเป็นตัวของตัวเอง และอยู่เคียงข้างเมื่อเขาเจอปัญหา ตลอดจนการสนับสนุนสิ่งที่ลูกเป็นหรือแสดงออก และไม่ควรอย่างยิ่งที่จะนำลูกเราไปเปรียบเทียบให้เหมือนคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นการเปรียบเทียบให้รู้สึกดีขึ้นหรือรู้สึกด้อยค่าลง ไม่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง เพราะการเปรียบเทียบลูกว่าลูกเก่งกว่าคนอื่นก็จะทำให้ลูกเกิดมีอีโก้ไปข่มเหงคนอื่นได้ หรือเปรียบเทียบด้อยค่าลูกทำไมสอบได้ที่ 1 ปมอย่างนี้กว่าจะเขาสลัดปมออกได้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ มันเป็นปัญหาของผู้ใหญ่ที่เราจะต้องเรียนรู้และเข้าใจให้ถูกต้อง



“วันนี้เป็นวันแห่งความรัก ผมอยากเชิญชวนให้ทุกคนมีเจตนาที่บริสุทธิ์ในเรื่องของความรัก รักทุกเรื่องให้รักออกมาจากภายใน อย่ารักด้วยเพียงแค่สายตาเห็น อย่ารักในเชิงของการหวังผล ซึ่งการสื่อสารรณรงค์ของง สสส.เป็นสิ่งที่ดีผมให้กำลังใจ แล้วก็ขอให้ทำอย่างนี้ต่อเนื่อง ขยายวงให้กว้างๆเพื่อสร้างความรักภายในครองครัวให้อบอุ่นซึ่งเป็นรากฐานอันแข็งแรงของสังคมไทย โดยเฉพาะอุปนิสัยของคนไทยมีความโอบอ้อมอารี มีความยิ้มเสน่ห์เมืองสยาม มีขนบธรรมเนียมประเพณีแบบพึ่งพาความอบอุ่นในครอบครัวมันดีอยู่แล้ว เหล่านี้เป็นจุดแข็งของประเทศไทย เราก็ต้องช่วยกันนะครับ” สส.กระบี่ พรรคภูมิใจไทยกล่าวย้ำ

ด้านนายวัลลภ ตังคณานุรักษ์ สว. และประธานคณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคม และกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส วุฒิสภา กล่าวว่าความจริงการสื่อสารความรักระหว่างพ่อแม่กับลูกไม่จำเป็นต้องทำกันในวันวาเลนไทน์ ทุกๆวันพ่อแม่ก็ควรแสดงความรักความอบอุ่นลูกๆได้อยู่แล้ว ผู้ปกครองต้องสื่อสารกับลูกๆหลานๆตลอดเวลาเพื่อสร้างความอบอุ่นภายในครอบครัว ที่ผ่านมาปัญหาสังคมครอบครัวเกิดจากไม่ค่อยสื่อสารกับลูก ซึ่งความจริงปัญหาถ้ามีก็มีได้ทุกวัน ไม่จำเป็นต้องเป็นวันที่พิเศษหรือวันวาเลนไทน์ ถ้าผู้ปกครองเข้าใจหลักนี้ก็จะเข้าใจได้ว่าควรสื่อสารกับลูกอย่างไรให้เกิดความรักความอบอุ่นในครอบครัวให้เหมาะสม และไม่ควรอย่างยิ่งที่เอาลูกเราไปเปรียบเทียบลูกกับคนอื่น เพราะลูกแต่ละคนย่อมไม่เหมือนกันได้ พร้อมเห็นด้วยที่ สสส.ออกมารณรงค์ชวนผู้ปกครองร่วมกับสร้าง HAPPY FAMILY DAY โดยไม่เรียกร้องกดดันเด็ก ไม่เปรียบเทียบลูกตัวเองกับคนอื่น

อย่างไรก็ตามสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) โดยโครงการสื่อสารนโยบายสาธารณะเพื่อการสร้างเสริมสุขภาพ ภายใต้ สสส. ร่วมกับสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ร่วมจัดกิจกรรมสื่อสารรณรงค์ “3 วิธีสื่อสาร 3 คำพูดต้องห้าม…ของขวัญวาเลนไทน์ลูก” ณ ชั้น 1 อาคารสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เพื่อสื่อสารรณรงค์ให้บุคลากรภายในอาคารรัฐสภา อาทิ สส. สว. ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ ตลอดจนสื่อมวลชน ได้มีการสื่อสารแสดงความรักต่อลูกหลานและเยาวชนในปกครองอย่างเหมาะสมและพอดี มีทัศคติการสื่อสารเชิงบวกระหว่างกันภายในครอบครัว พร้อมเชิญชวนให้พ่อแม่ผู้ปกครองหันมารับฟังและเข้าใจเด็กมากขึ้น มีการแสดงความรักต่อบุตรหลานและคนในครอบครัวด้วยความเข้าใจ พร้อมกันนี้ได้ให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมตอบแบบประเมินความคิดเห็นในการแสดงความรักต่อบุคคลในครอบครัวเนื่องในวันแห่งความรัก โดยมีสมาชิกรัฐสภาร่วมกิจกรรม อาทิ นพ.ทศพร เสรีรักษ์ สส.แพร่ พรรคเพื่อไทย และประธานคณะกรรมาธิการการสาธารณสุข สภาผู้แทนราษฎร นายวัลลภ ตังคณานุรักษ์ สว. และประธานคณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคม และกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส วุฒิสภา นายสฤษฏ์พงษ์ เกี่ยวข้อง สส.กระบี่ พรรคภูมิใจไทย นายเซีย จำปาทอง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล นายวุฒิพงษ์ นามบุตร สส.อุบลราชธานี พรรคประชาธิปัตย์ ตลอดจนข้าราชการรัฐสภาและสื่อมวลชนเข้าร่วมกิจกรรมอย่างคึกคัก


อย่างไรก็ตาม เป็นเรื่องธรรมดาที่พ่อแม่มักจะคาดหวังให้ลูกประสบความสำเร็จแบบที่เราอยากให้เป็น แต่การที่เด็กคนหนึ่งเติบโตมานั้น แม้จะอยู่ในครอบครัวเดียวกัน สภาพแวดล้อมที่ใกล้เคียง เรียนที่เดียวกัน ก็ไม่ได้หมายความว่าเด็กจะโตมามีลักษณะนิสัย หรือความรู้ความสามารถที่เหมือนกัน ดังนั้นการจะคาดหวังให้ลูกเป็นเหมือนกับเด็กคนอื่นๆ ซึ่ง 3 สาเหตุของปัญหาที่มักเกิดขึ้นกับพ่อแม่อย่างไม่รู้ตัวก็คือ 1.การเปรียบเทียบลูกของตนเองกับเด็กคนอื่น 2.เมื่อไม่ได้ดั่งใจก็จะตำหนิ หรือออกคำสั่งด้วยถ้อยคำประชด บางครั้งอาจเกิดจากความไม่ตั้งใจ 3.เพียงเพราะคาดหวัง อยากกระตุ้นให้ลูกเป็นเช่นนั้นบ้าง แต่รู้หรือไม่ว่าพฤติกรรมแบบนั้นส่งผลกระทบในแง่ร้ายกับลูกมากกว่าที่คิด โดยเฉพาะความคาดหวัง หรือความปรารถนาดีต่างๆ อาจกลับกลายเป็นฝันร้ายสำหรับลูกโดยไม่คาดคิดการใช้ถ้อยคำในเชิงลบ หรือประชดเพื่อเปรียบเทียบลูกกับคนอื่นไม่ต่างอะไรกับการ บูลลี่ ก่อให้เกิดเป็นปมในใจ สูญเสียความมั่นใจ ความเคารพในตนเองลดน้อยลง กลายเป็นคนขี้อาย ไม่กล้าเข้าสังคม จนนำไปสู่ปัญหาทางสภาพจิตใจที่ร้ายแรงได้ในอนาคต ทางที่ดีควรเลิกเปรียบเทียบ เลิกคาดหวัง เลิกตำหนิ เลิกออกคำสั่งกับลูก เพราะการที่พ่อแม่ทำพฤติกรรมเช่นนี้จนเคยชินจะทำให้ลูกกลัวที่จะริเริ่มทำสิ่งใหม่ๆอยู่ภายใต้ความกดดันตลอดเวลา ลองหันมาใช้ 3 วิธีการสื่อสารเชิงบวกที่ไม่ทำลายตัวตนและความภาคภูมิใจของลูกโดย 1.เปิดพื้นที่ให้ลูกเป็นตัวของตัวเอง ปล่อยให้ลูกได้เล่น ทำกิจกรรมแสดงออกอย่างที่เขาเป็น 2.อยู่เคียงข้างเมื่อเขาเจอปัญหา ไม่ว่าจะเป็นการถูกกลั่นแกล้ง ล้อเลียน พ่อแม่ต้องพร้อมรับฟังให้คำปรึกษาด้วยหลักเหตุผลและ 3.พร้อมสนับสนุนสิ่งที่ลูกเป็นหรือแสดงออก พูดชื่นชม ในสิ่งเล็กๆ น้อยๆ บ้าง เพื่อส่งเสริมความมั่นใจในตัวเองของลูกให้มากขึ้น