ทำเอาหนุ่มๆ สาวๆ ชาวออฟฟิศ ต้องจิตตกไปตามๆ กัน

สำหรับ รายงานจากบรรดาสถาบันการเงิน เศรษฐกิจ และธุรกิจ อย่าง “โกลด์แมน แซคส์” เป็นต้น ที่ออกมาบอกว่า หุ่นยนต์ หรือโรบอต ที่มีระบบปัญญาประดิษฐ์ หรือเอไอ (AI : Artificial Intelligence) ตลอดจนสิ่งประดิษฐ์เครื่องช่วยอำนวยความสะดวกทั้งหลายที่ใช้ระบบไอเอ จะเข้ามาแย่งงานในตลาดแรงงานประเภทต่างๆ รวมแล้วกว่า 300 ล้านตำแหน่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลุ่มประเทศตะวันตก ทั้งในสหภาพยุโรป หรืออียู และสหรัฐอเมริกา ที่ใช้ระบบเอไอเข้ามาช่วยอำนวยความสะดวกในการทำงานอย่างขนานใหญ่ตามออฟฟิศและโรงงานต่างๆ

โดยปรากฏการณ์ที่พนักงาน และคนงาน ตามสถานที่ทำงานทั้งหลาย ถูกระบบเอไอ เข้ามาแย่งงานในลักษณะนี้ ก็คล้ายกับสถานการณ์ของโลกเราเมื่อช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 18 ถึงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 คือ ประมาณ ค.ศ. 1760 – 1850 (พ.ศ. 2303 – 2393) ซึ่งเป็นยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมของโลกตะวันตก ที่ปรากฏว่า เครื่องจักรกลต่างๆ ถูกนายจ้างนำมาใช้ในโรงงานและสถานประกอบการต่างๆ แทนการใช้แรงงานมนุษย์ ส่งผลให้มนุษย์เราเป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นแรงงานตามโรงงานและสถานประกอบการทั้งหลาย ต้องกลายสภาพเป็นคนตกงานไปตามๆ กัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเหล่าประเทศของกลุ่มชาติตะวันตก

ทั้งนี้ ปรากฏการณ์ที่เครื่องจักรกลเข้ามแทนที่แรงงานมนุษย์ในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งกระนั้น ก็ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจโดยส่วนรวม หรือระดับมหภาค นอกเหนือจากกระทบกระเทือนต่อเศรษฐกิจระดับเอกชน หรือจุลภาคแล้ว

สำหรับ ปรากฏการณ์ที่ระบบเอไอเข้ามาแย่งงานของแรงงานมนุษย์เราในยุคปัจจุบัน รวมไปถึงอนาคตข้างหน้า ก็ได้รับการคาดหมายว่า จะส่งผลกระทบ สร้างความสั่นสะเทือน ต่อระบบเศรษฐกิจทั้งในระดับมหภาคโดยส่วนรวม และระดับจุลภาค ปัจเจกชน เป็นส่วนตัว หาน้อยไม่อีกเช่นกัน

อย่างไรก็ดี ได้มีทรรศนะจากบรรดานักวิเคราะห์วิจารณ์เกี่ยวกับระบบเอไอกับตลาดแรงงานมนุษย์ ว่าจะถูกเขย่าให้สั่นสะท้านหนักหนาสาหัสสากรรจ์ประการใดหรือไม่?

ก็ได้รับคำตอบจากเหล่านักวิเคราะห์ว่า ยังคงงานอยู่หลายสายงานเหมือนกัน ที่ระบบเอไอ ยังไม่สามารถเข้ามาแย่งชิงได้ ณ ชั่วโมงนี้

อย่างในรายของ “มาร์ติน ฟอร์ด” นักอนาคตนิยมชาวอเมริกัน ซึ่งมีงานเขียนหนังสือที่มุ่งเน้นไปในเรื่องระบบปัญญาประดิษฐ์และหุ่นยนต์จำนวนหลายเล่มด้วยกันนั้น ก็ยังให้ทรรศนะวิจารณ์ ในอันที่จะสร้างความใจชื้นให้แก่มนุษย์แรงงาน มนุษย์พนักงานต่างๆ ได้เป็นอย่างดีว่า ณ ขณะนี้ยังมีงานที่ระบบเอไอและหุ่นยนต์ทำไม่ได้อยู่หลายสายงานด้วยกัน ได้แก่ สายงานที่จำเป็นต้องใช้คุณสมบัติของมนุษย์เราโดยเฉพาะ เช่น ความฉลาดทางอารมณ์ การคิดนอกกรอบ พลิกแพลงไปตามสถานการณ์ต่างๆ สายงานที่ใช้ความคิดสร้าสรรค์ สายงานที่ใช้แรงงานที่มีทักษะความชำนาญแบบเฉพาะทาง

การประยุกต์ระบบปัญญาประดิษฐ์ หรือเอไอ ในเครื่องจักรกล เพื่อผลิตชิ้นงานได้อย่างแม่นยำและรวดเร็ว ของโรงงานแห่งหนึ่ง แทนการใช้แรงงานมนุษย์ (Photo : AFP)

โดยนายฟอร์ด ได้จำแนกสายงาน 3 ประเภท ซึ่งนักอนาคตนิยมชาวอเมริกันผู้นี้ ยืนยันอย่างหนักแน่นว่า “ปลอดภัย” ยังไม่ถูกแย่งงาน ณ ชั่วโมงนี้ หรือในอนาคตอันใกล้ อย่างแน่นอน ได้แก่

สายงานที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์อย่างจริงจัง ซึ่งรวมไปถึงงานที่ต้องใช้ความคิด หรือไอเดีย ใหม่ๆ ไม่จำเจ ซึ่งตรงนี้ระบบเอไอยังไม่สามารถทำได้ เพราะระบบปัญญาประดิษฐ์ ตลอดหุ่นยนต์ต่างๆ ประเภทนี้ ยังต้องทำงานตามคำสั่งข้อมูลที่ป้อนให้ไป โดยถ้าเป็นงานที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์นอกเหนือคำสั่ง หุ่นยนต์ หรือระบบเอไอเหล่านี้ ยังไม่สามารถดำเนินการให้ได้

สายงานต่อมา ก็คือ งานที่ต้องใช้ความชำนาญในการปฏิสัมพันธ์กับผู้คน เช่น พยาบาล ที่ปรึกษาทางธุรกิจ ทางกฎหมาย นักข่าวสืบสวน ซึ่งงานในลักษณะนี้ คนทำงานต้องมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับผู้คนที่มีปฏิสัมพันธ์ด้วย โดยระบบเอไอยังไม่สามารถทำได้ ทั้งนี้ สายงานด้านนี้ ทางนายฟอร์ด ยังมีทรรศนะด้วยว่า น่าจะใช้เวลาอีกนานเลยทีเดียว กว่าระบบเอไอจะเข้ามาทำงานในลักษณะที่ปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้คนได้

ปิดท้าย ก็เป็นสายงานที่ใช้ความสามารถด้านการเคลื่อนไหว ความคล่องแคล่ว รวมไปถึงความสามารถในการแก้ไขปัญหาในสภาวะแวดล้อมที่ไม่สามารถคาดเดาได้ ตลอดจนงานที่ต้องใช้ทักษะ เช่น ช่างไฟฟ้า ช่างประปา เป็นต้น ซึ่งงานในกลุ่มนี้ ก็มักจะมีสถานการณ์ใหม่ให้ต้องแก้ไขรับมืออยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่งานที่มีลักษณะตายตัว

การวินิจฉัยโรคอย่างแม่นยำ และการดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด โดยแพทย์และพยาบาลที่เป็นมนุษย์ ซึ่งหุ่นยนต์ปัญญาประดิษฐ์ หรือเอไอ ยังไม่สามารถทำได้ ณ ขณะนี้ (Photo : AFP)

ทั้งนี้ ในทรรศนะของนายฟอร์ดข้างต้น ยังถือเป็นมุมมองที่พูดถึงสายงานแบบกว้างๆ โดยถ้าจำกัดวงให้แคบลงมา สำหรับ งานที่หุ่นยนต์ปัญญาประดิษฐ์ หรือระบบเอไอ ยังไม่สามารถทำแทนมนุษย์เราได้นั้น ก็ได้แก่

ครู-อาจารย์สอนหนังสือ อาชีพที่ต้องใช้ทักษะในการอธิบายถ่ายทอดความรู้ รวมถึงอารมณ์ต่างๆ ให้แก่นักเรียน นักศึกษา ได้รับรู้ในเรื่องราวที่สอน (Photo : AFP)

นอกจากมีทรรศนะของมนุษย์ที่เป็นนักอนาคตนิยมแล้ว แม้กระทั่ง “แชตจีพีที (ChatGPT)” แชตบอตเอไอชื่อดังแถวหน้าของโลก ก็ยังตอบคำถามเองเลยว่า มีงานอะไรบ้างที่หุ่นยนต์ปัญญาประดิษฐ์ ระบบเอไอ ซึ่งเป็นระบบเดียวกับแชตจีพีทีเอง ยังไม่สามารถแย่งงานของมนุษย์ หรือทำแทนมนุษย์ได้ เพราะระบบยังพัฒนาไปไม่ถึง หรือพัฒนาแล้วแต่ยังทำงานได้ไม่ดีเท่ากับมนุษย์ ณ ขณะนี้ โดยมี 20 อาชีพด้วยกัน ได้แก่ อาชีพนักจิตวิทยาและนักบำบัด อาชีพนักสังคมสงเคราะห์ อันเป็นสายงานที่ต้องใช้ความเห็นอกเห็นใจร่วมด้วย อาชีพครู-อาจารย์สอนหนังสือที่นอกจากถ่ายทอดความรู้ก็ยังมีการถ่ายทอดทางอารมณ์ต่างๆ ให้ผู้เรียนได้รับรู้อีกด้วย อาชีพแพทย์-พยาบาล ที่ต้องใช้ทักษะการวินิจฉัยโรคอย่างแม่นยำ การที่ต้องมีปฏิสัมพันธ์ดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด อาชีพทนายความ ที่ต้องใช้ทักษะด้านต่างๆ เช่น การใช้เหตุผล ตีความกฎหมายที่มีความซับซ้อน และโน้มน้าวจิตใจในการว่าความต่างๆ อาชีพเจ้าหน้าที่บริการลูกค้า ที่ต้องใช้ทักษะการปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าและผู้คนต่างๆ อาชีพนักวิจัย-นักวิทยาศาสตร์ในห้องทดลอง หรือห้องแล็บ ซึ่งต้องใช้ทักษะด้านการคิดวิเคราะห์เชิงวิพากษ์ อาชีพพ่อครัวแม่ครัวคนทำอาหาร ซึ่งแม้หุ่นยนต์ หรือเอไอ อาจจะปรุงอาหารได้ แต่จะพลิกแพลงเมนูอาหาร และรสชาติต่างๆ ก็ยังไม่สามารถทำได้ดีเหมือนกับมนุษย์เรา นอกจากนี้ ยังมีอาชีพนักมายากล ซึ่งหุ่นยนต์ ก็ยังไม่สามารถเล่นกลชวนพิศวงเหมือนกับมนุษย์เรา หรืออาชีพนักบวช ที่ระบบเอไอ ก็ยังไม่สามารถเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณได้ดีเหมือนกันนักบวชมนุษย์ตัวเป็นๆ

นักมายากลโชว์การเล่นกลอย่างสุดพิศวง ชนิดที่หุ่นยนต์ปัญญาประดิษฐ์ หรือเอไอ ก็ยังทำไม่ได้ (Photo : AFP)

นักบวช ยังคงเป็นผู้นำจิตวิญญาณ ที่พึ่งทางใจของมนุษย์เรา ที่หุ่นยนต์เอไอ ยังพัฒนาไปไม่ถึง (Photo : AFP)