ด้วยการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าสู่ประเทศไทยอย่างต่อเนื่องในปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวคุณภาพกลุ่ม FIT (Free Individual Traveler) ที่มีศักยภาพและใช้จ่ายเพื่อการท่องเที่ยวสูง (High-to-Luxury) ทำให้อุตสาหกรรมโรงแรมต่างมีผลประกอบการสุดแข็งแกร่งด้วยรายได้รวมแบบนิวไฮในปีที่ผ่านมา

บริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ

นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC กล่าวถึงผลประกอบการ ปี 2566 ด้วยรายได้รวมทั้งปีอยู่ที่ 19,011 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 30.9 เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน (YoY) และเหนือกว่าก่อนสถานการณ์โควิด-19 ในปี 2562 รวมถึงมีผลการดำเนินงานที่ทำนิวไฮสูงสุดใน 5 ด้าน ด้วย 1. กำไรสุทธิเติบโตก้าวกระโดดถึง 5,105 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 28.2 (YoY) รวมถึง 2. มีกำไรจากการดำเนินงานกลุ่มธุรกิจ (BU EBITDA) สูงถึง 10,639 ล้านบาท ตามงบการเงินซึ่งรวมมูลค่ายุติธรรม เพิ่มขึ้นร้อยละ 26.6 เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน (YoY) โดยยังคงสามารถรักษาอัตราการเติบโตของกำไรจากการดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจตามงบการเงินได้อย่างสม่ำเสมอเฉลี่ยสี่ปีย้อนหลัง (2563-2566) อยู่ที่ร้อยละ 74 ต่อปี สะท้อนผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งด้วยความสามารถบริหารจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพและกลยุทธ์การลงทุนที่หลากหลายสร้างสมดุลเชิงธุรกิจ (Balanced and Diversified Portfolio) โดยกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการสามารถทำผลงานได้อย่างโดดเด่น ด้วยความสามารถในการสร้าง

ส่วน 3. รายได้เฉลี่ยต่อห้องพัก (RevPAR) เติบโตสูงสุดที่ 3,658 บาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 54.8 และ 4. มีรายได้เฉลี่ยต่อวัน (Average Daily Rate: ADR) เท่ากับ 5,661 บาทต่อคืน เพิ่มขึ้นร้อยละ 17.4 เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน (YoY) และ 5. ปี 2566 เป็นปีที่บริษัทฯ ได้สร้างการเติบโตของมูลค่าทรัพย์สินกว่า 20,000 ล้านบาท ซึ่งประกอบไปด้วยทรัพย์สินดำเนินงานใหม่ประมาณ 6,000 ล้านบาท และโครงการลงทุนที่ได้รับอนุมัติกว่า 14,000 ล้านบาท โดยเป็นทรัพย์สินดำเนินงานใหม่ 9 โครงการ ประกอบไปด้วยโรงแรม 3 แห่ง และห้องอาหาร 6 แห่ง เพื่อสร้างกระแสเงินสดและเพิ่มศักยภาพในการสร้างกำไรจากการดำเนินงานอย่างยั่งยืน และทรัพย์สินที่ได้รับการอนุมัติให้ลงทุน อาทิ การลงทุนในโรงแรมพลาซ่า แอทธินี นิวยอร์ก  รวมมูลค่าพอร์ตทรัพย์สินทั้งหมดอยู่ที่ 146,799 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 52 เมื่อเทียบกับก่อนสถานการณ์โควิด-19 ในปี 2562 โดยคิดเป็นมูลค่าทรัพย์สินดำเนินงานอยู่ที่ 108,202 ล้านบาท

ซึ่งในปี 2567 ทางบริษัทฯ มีแผนที่จะเสริมศักยภาพและเปิดให้บริการโครงการในทุกกลุ่มธุรกิจรวมกว่า 18 โครงการ โดยมีโครงการสำคัญของกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการ  รวมถึงมีโครงการสำคัญของกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์       

พร้อมต่อยอดรากฐานทางธุรกิจ

ด้าน นายไมเคิล เดวิด มาร์แชล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัท บริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) (SET: SHR) กล่าวว่า บริษัทฯ เห็นสัญญาณบวกที่แข็งแกร่งในปี 2567 จากจำนวนนักท่องเที่ยว และความเต็มใจใช้จ่ายสำหรับการท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ทั้งในประเทศไทย สาธารณรัฐมัลดีฟส์ และสาธารณรัฐหมู่เกาะฟิจิ ประกอบกับรายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืน (RevPAR) ที่เพิ่มขึ้นจากผลสำเร็จของการปรับปรุงห้องพักและยกระดับมาตรฐานของโรงแรมในปีที่ผ่านมา พร้อมต่อยอดรากฐานทางธุรกิจเพิ่มศักยภาพในการสร้างผลกำไรในปี 2567 

ดังนั้นเพื่อเป็นการต่อยอดรากฐานทางธุรกิจอันมั่นคง บริษัทฯ จะเดินหน้ามุ่งเน้นการเพิ่มศักยภาพในการสร้างผลกำไรในปี 2567 ผ่าน 4 กลยุทธ์หลัก  ซึ่งประกอบไปด้วย 1.บริหารโดยมุ่งเน้นให้ RevPAR เติบโตได้ในทุกภูมิศาสตร์ที่โรงแรมของบริษัทดำเนินการอยู่ ควบคู่ไปกับการเติบโตของรายได้อื่นนอกเหนือจากการเข้าพัก (Non-room Revenue) โดยนำเสนอเมนูใหม่ๆ พร้อมประสบการณ์ด้านอาหารและเครื่องดื่มที่มีเอกลักษณ์ตามแบบฉบับของแบรนด์  พร้อมแผนเปิดตัวบีชคลับในทุกรีสอร์ทในเครือทราย (SAii)  2.ยกระดับพอร์ตโฟลิโอและหมุนเวียนสินทรัพย์ (Portfolio Enhancement and Rotation) อย่างต่อเนื่อง โดยจะดำเนินการระยะที่ 2 ตามแผนการปรับปรุงโรงแรมในประเทศไทยที่ ทราย ลากูน่า ภูเก็ต และ ทราย พีพี ไอส์แลนด์ วิลเลจ และดำเนินกลยุทธ์เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าใหม่และรีแบรนด์โรงแรมที่เหมาะสมและมีศักยภาพในสหราชอาณาจักร 3.แผนยกระดับแบรนด์ทราย (SAii) ให้มีมาตรฐานระดับสากล (International Standard) ผนวกกับการสร้างการจดจำแบรนด์ในฐานะจุดหมายปลายทางของการท่องเที่ยวแบบลักชูรีอย่างยั่งยืน พร้อมนำความแข็งแกร่งของแบรนด์มาต่อยอดในการสร้างการเติบโตที่ยืดหยุ่นขึ้นและมีข้อจำกัดที่ลดลง ทั้งภายใต้โมเดลธุรกิจแบบ Asset-Light และการร่วมทุน (Joint Venture) 4.จัดสรรงบในการลงทุนมูลค่า 15,000 ล้านบาทเพื่อซื้อและควบรวมกิจการ (Merger and Acquisition) ตลอดระยะเวลา 5 ปีข้างหน้า เพื่อสร้างความหลากหลายให้แก่พอร์ตโฟลิโอของบริษัทฯ และสร้างความเติบโตที่ยั่งยืนในด้านรายได้และกำไร รวมถึงลดความผันผวนทางฤดูกาล (Seasonal Effect) ของโรงแรมในเครืออีกด้วย

ดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ

ขณะที่ นายกันย์ ศรีสมพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่การเงิน และ รองประธานฝ่ายการเงินและบริหาร บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงการดำเนินงานในปี 2567 ว่า ในส่วนของธุรกิจโรงแรมด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวทั่วโลกยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องจากปีก่อน โดย United Nations World Tourism Organization (UNWTO) ประมาณการการท่องเที่ยวโลกปี 2567 เติบโต 2% เทียบช่วงก่อนโควิด (ปี 2562) โดยคาดว่าการท่องเที่ยวแถบเอเชียจะเป็นปัจจัยสำคัญในการเติบโต ซึ่งฟื้นตัวช้ากว่าภูมิภาคอื่นในปีก่อน รวมถึงการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวจีนที่เพิ่มขึ้นจะช่วยสนับสนุนการเติบโตของการท่องเที่ยวโลก ดังนั้นจึงยังคงมีปัจจัยที่ท้าทายทั้งเรื่องภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ความขัดแย้งระหว่างประเทศ และอัตราดอกเบี้ยที่ยังคงอยู่ในระดับสูง

ด้วยเหตุนี้ บริษัทฯยังคงให้ความสำคัญต่อการดำเนินงานด้วยความระมัดระวัง ทั้งเรื่องการควบคุมค่าใช้จ่ายโดยเน้นการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ และการมีวินัยทางการเงิน ขณะที่บริษัทฯยังคงการลงทุนเพื่อขยายธุรกิจในช่วง 2-3 ปีข้างหน้าเพื่อสร้างความเติบโตในอนาคต ด้วยการจัดสรรเงินทุนอย่างระมัดระวัง  บริษัทฯ ได้จัดหาแหล่งเงินทุนที่มีต้นทุนที่เหมาะสมจากการกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงิน และการออกตราสารหนี้ในตลาดตราสารหนี้ รวมถึง การจ่ายคืนเงินกู้ก่อนกำหนดจากกระแสเงินสดสุทธิจากกิจกรรมดำเนินงานเพื่อลดภาระดอกเบี้ย