เมื่อวันที่ 10 มี.ค. นายวัชรินทร์ ภาณุรัตน์ รองอธิบดีอัยการสำนักงานการสอบสวน ในฐานะอัยการร่วมสอบสวนกับพนักงานสอบสวนคดีพิเศษตามคำสั่ง อัยการสูงสุด ในคดีเครือข่าย  โกฟุก อายุ 60 ปี มีความเชื่อมโยงกับกระบวนการฉ้อโกงภาษี ในการสร้างหลักฐานการส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิงไปนอกประเทศที่เป็นเท็จ แล้วนำมาขอคืนภาษี โดยเบื้องต้นพบว่ามีการดำเนินการ ต่อเนื่องมากว่า 10 ปี ทำให้รัฐสูญเสียภาษีกว่า 1.8 หมื่นล้านบาท ได้กล่าวถึงความคืบหน้าทางคดีว่า เรื่องนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการร่วมสอบสวนกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ ซึ่งมีการประชุมกันทุกวันพุธ ที่ผ่านมาได้ประชุมหารือแนวทางการสืบสวนหาพยานหลักฐานมา 2 ครั้งแล้ว ตอนนี้ต้องรอเอกสารให้พร้อมและยังต้องสอบพยานสำคัญเพิ่มเติมอีก เนื่องจากเรื่องนี้เป็นคดีใหญ่ คดีสำคัญต้องละเอียดรอบคอบ ส่วนพยานหลักฐานอื่นๆที่อยู่นอกราชอาณาจักรได้รวบรวมครบถ้วนแล้ว คาดว่าภายในเดือน เม.ย. 57 นี้ จะสามารถจบขั้นตอนการสอบสวนและส่งสำนวนสั่งฟ้องได้ ซึ่งคดีนี้เมื่อทำการสอบสวนเเล้วจะต้องส่งให้อัยการสูงสุดเป็นผู้พิจารณาเนื่องจากเป็นคดีนอกราชอาณาจักรไทย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 20 (ที่ให้อำนาจการสั่งคดีและสอบสวนคดีนอกราชอาณาจักรเป็นอำนาจของอัยการสูงสุด หรือ อสส.มอบหมายให้เป็นผู้รับผิดชอบดำเนินคดี)

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าสำหรับคดีดังกล่าว พนักงานสอบสวนดีเอสไอตรวจพบว่า เครือข่าย  โกฟุก มีความเชื่อมโยงกับกระบวนการฉ้อโกงภาษี ในการสร้างหลักฐานการส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิงไปนอกประเทศที่เป็นเท็จ แล้วนำมาขอคืนภาษี โดยเบื้องต้นพบว่ามีการดำเนินการ ต่อเนื่องมากว่า 10 ปี ทำให้รัฐสูญเสียภาษีกว่า 1.8 หมื่นล้านบาท เป็นผลมาจากการขยายผลจากก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 1 ก.พ. เป็นคดีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ มอบหมายให้กองคดีฟอกเงินทางอาญา เปิดปฏิบัติการตรวจค้นจับกุมเครือข่าย โกฟุก ซึ่งเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับรายสำคัญของศาลอาญา ในคดีฟอกเงิน จากพนันออนไลน์ อันเป็นความผิดฐานนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จในระบบคอมพิวเตอร์หลอกลวงให้ประชาชนเข้าซื้อรางวัลเลขท้ายของรางวัลที่ 1 และรางวัลเลขท้าย 2 ตัว โดยอ้างอิงผลการออกรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาล รวมทั้งนำผลการออกรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาลของประเทศต่างๆ มาประกอบในการเชิญชวนให้มีการเล่นการพนันภายใต้เว็บไซต์หลายเว็บไซต์ เช่น ร่ำรวยร้อยล้าน, นพเก้า, นาคราช, ชอบหวย, ลอตโต้เอ็มเอ็ม, ดีเอ็นเอ, เยเย่ และอื่นๆ เบื้องต้นพบเงินหมุนเวียนในระบบกว่า 1,000 ล้านบาท จึงรับไว้ทำการสอบสวนคดีพิเศษ ซึ่งการตรวจค้นครั้งนั้น ดีเอสไอพุ่งเป้าหมายเข้าตรวจค้นจำนวน 27 จุด ในพื้นที่หลายจังหวัด รวมทั้งติดตาม จับกุมกลุ่มผู้ต้องหาตามหมายจับ รวม 18 คน