วันที่ 17 มี.ค.2567 มีรายงานว่า เมื่อวันที่ 13 มี.ค. 2567 บิ๊กโจ๊ก – พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(รองผบ.ตร.) ส่งหนังสือถึง พล.ต.ต.ทินกร รังมาตย์ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล(รองผบช.น.) ในฐานะรองหัวหน้าคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน ตามคำสั่งกองบัญชาการตำรวจครบาล  เรื่องให้ยุติการสืบสวนสอบสวนและปฏิบัติตามมติคณะกรรมการ ป.ป.ช.

โดยเนื้อหาในหนังสือ สรุปว่า ตามมติคณะกรรมการ ป.ป.ช. กรณีคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ส่งสำนวนของกองบังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 1 กรณีกล่าวหา พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กับพวกรวม 5 นายว่า เรียกรับผลประโยชน์จากเว็บไซต์การพนันออนไลน์ กระทำความผิดฐานฟอกเงินและร่วมกันฟอกเงิน โดยคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนเห็นว่าคดีร้องทุกข์กล่าวโทษ เป็นเรื่องเดียวกันกับสำนวนการสอบสวนคดีเดิม โดยมีผู้ต้องหาเพิ่มเติมบางคนเป็นถึงข้าราชการตำรวจชั้นผู้ใหญ่ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 

คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงมีมติรับเรื่อง กล่าวหาข้าพเจ้ากับพวกรวม 5 นาย ไว้ดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจ โดยให้รวมเรื่องที่กล่าวหาข้าพเจ้ากับสำนวนคดีอาญา กรณีกล่าวหาพ.ต.อ.ภาคภูมิ พิศมัย กับพวกเรียกรับผลประโยชน์จากเว็บไซต์การพนันออนไลน์ กระทำความผิดฐานฟอกเงินและร่วมกันฟอกเงิน อีกทั้งให้เรียกสำนวนการสอบสวนเรื่องกล่าวหา พ.ต.อ.ภาคภูมิ พิสมัย กับพวก และเอกสารที่เกี่ยวข้องทั้งหมดคืนมาเพื่อดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจต่อไป

ต่อมา ข้าพเจ้าทราบว่า คณะพนักงานสืบสวนสอบสวนตามคำสั่ง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยมีพล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นหัวหน้าพนักงานสืบสวนสอบสวน มีการนำข้อเท็จจริงจากการทำธุรกรรมการเงินและพยานหลักฐานเดิมที่มีการดำเนินคดีกับ พ.ต.ท.คริษฐ์ ปริยะเกตุ ไปแล้ว ไปร้องทุกข์กล่าวโทษเป็นคดีใหม่ที่ สน.เตาปูน ว่า กระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำผิดฐานฟอกเงิน เพราะเป็นเหตุให้มีการสมคบกันและร่วมกันฟอกเงิน และกองบัญชาการตำรวจนครบาลได้แต่งตั้งคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนรับผิดชอบคดีดังกล่าว โดยมี พล.ต.ต.วสันต์ เตชะอัครเกษม รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เป็นหัวหน้าพนักงานสืบสวนสอบสวน

หากแต่ทั้งสองคำสั่งดังกล่าว มี เจ้าหน้าที่ตำรวจส่วนหนึ่งเป็นบุคคลเดียวกัน และคณะพนักงานสอบสวนตามคำสั่งดังกล่าวจึงทราบข้อเท็จจริงแห่งคดีดังกล่าวว่า คดีของ สน.เตาปูน มีความเกี่ยวเนื่องกับการจับกุมตัวผู้ต้องหาส่วนหนึ่ง ดำเนินคดีที่ สภ.คอหงส์ จ.สงขลา เป็นความผิดเรื่องสมคบฟอกเงินที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาของ สน.เตาปูน และ สภ.คอหงส์ ได้สืบสวนสอบสวนขยายผลจากเส้นทางการเงิน และมีการดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่รัฐ กระทำผิดฐานทุจริตอีกส่วนหนึ่ง ตามคดีอาญาที่ทราบว่าส่งสำนวนการสอบสวนให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. รับไว้พิจารณาอีกส่วนหนึ่งแล้ว”

ต่อมาหลังจากที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติเมื่อวันที่ 4 มี.ค.2567 รับเรื่องกล่าวหาข้าพเจ้าไว้ดำเนินการแล้ว คณะพนักงานสืบสวนสอบสวน ตามคำสั่งกองบัญชาการตำรวจนครบาล ได้มีการร้องทุกข์กล่าวหาข้าพเจ้าว่ากระทำความผิดฐานสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำผิดฐานฟอกเงิน เพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกันและร่วมกันฟอกเงินแล้ว

ต่อมาทราบว่าพนักงานสอบสวนตามคำสั่งกองบัญชาการตำรวจนครบาลที่มีท่านพล.ต.ต.ทินกร รังมาตย์ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เป็นรองหัวหน้าคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน ได้เดินทางไปที่ศาลอาญาเพื่อขอออกหมายจับข้าพเจ้า และศาลอาญาได้ยกคำร้อง อันถือว่ามีเจตนากลั่นแกล้งข้าพเจ้า ทั้งที่ข้าพเจ้าเป็นข้าราชการตำรวจระดับสูง ดำรงตำแหน่งรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และมีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ซึ่งไม่มีพฤติการณ์หลบหนี แต่ไม่มีการออกหมายเรียกข้าพเจ้า แต่ไปยื่นคำร้องขอศาลออกหมายจับข้าพเจ้า ทั้งนี้ก็เพื่อต้องการที่จะทำการสอบสวนในคดีที่กล่าวหาข้าพเจ้า อันเป็นการขัดต่อมติคณะกรรมการ ป.ป.ช.

จากข้อเท็จจริงดังกล่าว ข้าพเจ้าเห็นว่าการที่พนักงานสอบสวน มีการกล่าวหาข้าพเจ้า เป็นการดำเนินคดีอาญาซ้ำกับคดีที่ได้มีการกล่าวหาข้าพเจ้า และส่งสำนวนการสอบสวนให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. การที่มีการกล่าวหาและไปยื่นคำร้องขอหมายจับข้าพเจ้านั้น จึงเป็นการกระทำโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย


จึงแจ้งมาเพื่อทราบว่า ท่านไม่มีอำนาจสืบสวนสอบสวน และให้ยุติการสืบสวนสอบสวนคดี ของ สน.เตาปูนซึ่งท่านเป็นรองหัวหน้าคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน และโปรดส่งสำนวนการสอบสวนดังกล่าวไปร่วมกับสำนวนคดีที่ คณะกรรมการป.ป.ช. ได้รับดำเนินดำเนินตามหน้าที่และอำนาจแล้ว เพื่อดำเนินการพิจารณาไต่สวนไปคราวเดียวกัน และเพื่อประโยชน์ แห่งความยุติธรรมต่อไป