ปากกาขนนก / สกุล บุณยทัต

"ประเด็นแห่งการฆ่าตัวตาย ในนามของความเป็นมนุษย์ คือนิยามความหมายอันลึกเน้นที่ยากจะเผยความถึงเจตจำนงอันจริงแท้..มันคือความคับแค้นส่วนตัว ความบ้าคลั่งของจิตวิญญาณ ความอ่อนไหวอันโหยไห้ของชะตากรรมเน้นลึก..หรือเหตุผลในเหตุผลแห่งโศกนาฏกรรมอีกมากมายที่ไม่มีที่เปิดการแสดงในที่โล่งแจ้ง..

เหล่านี้..คือสาระอันดำมืดที่จมปลักอยู่กับโศกนาฏกรรมของชีวิตอัปลักษณ์..ที่ยอมเล่นเงาของตนเองดุจเครื่องเล่นของความตายอันไร้ที่มาที่ไป..มันคือ..แก่นสารสำนึกของพลังร้าย ที่คอยหลอนหลอกเนื้อแท้แห่งชีวิตของเรา..จนขาดวิ่นลงเหลืออยู่เพียงสวะแห่งซากร่างอันสูญสิ้นมโนธรรมแห่งศรัทธา..เพียงเท่านั้น..!"

นี่คือ..พลังสำนึกของไฟอำนาจภายในตัวตนที่ลุกโชนอยู่กับทั้งความเป็นอคติและตัณหาที่ร้อนร้าย..จากตัวละครที่เป็นยิ่งกว่าชีวิต ในประพันธกรรมชั้นยอด..ของ"ฟีโอดอร์ ดอสโตเยฟสกี"นักประพันธ์เลื่องชื่อชาว"รัสเซีย"(FYODOR DOSTOEVSKY )..นวนิยายเรื่องเยี่ยม.."คนเจียมตัว"(A GENTLE CREATURE/A FANTASTIC STORY)..ซึ่งแปลและแปลเป็นภาษาไทยจาก นักแปลชั้นครู"ศ.ศุภศิลป์"..

“คุณรู้ไหมครับ..สุภาพสตรีและสุภาพบุรุษ..นักฝันคืออะไร?...มันคือฝันร้ายของปีเตอร์สเบิร์ก มันตกอยู่ในสภาพบาป มันเป็นโศกนาฏกรรมอย่างหนึ่ง"

"ดอสโตเยฟสกี้"..ได้รับแรงบันดาลใจในเรื่องนี้..มาจากการรายงานข่าว..เหตุการณ์การฆ่าตัวตายของ"หญิงสาวช่างเย็บผ้า"..ซึ่งถูกขนานนามในกรณีนี้ว่าเป็น"การฆ่าตัวตายอย่างอ่อนโยน"

อันที่จริง.."จนกระทั่งถึงวันนี้..!มันกลับคืนมาสู่ผมได้อย่างไร..มาได้อย่างไรเล่า..: หล่อนยังมีชีวิตอยู่ใช่ไหมล่ะ..หล่อนอยู่ที่นี่ตรงหน้าผมนี่ไง เหมือนกับผมก็อยู่ตรงหน้าหล่อน..หล่อนจะตื่นขึ้นในวันพรุ่งนี้ .และผมจะบอกหล่อนทุกสิ่งทุกอย่าง..หล่อนจะเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่าง" และ..หล่อนจะเข้าใจทั้งหมด..นั่นคือการให้เหตุผลในเวลานั้น.."ง่ายๆและชัดเจน"..นั่นคือความรู้สึกว่ามีความสมบูรณ์ที่สมบูรณ์แบบ.. "เหนือสิ่งอื่นใด.!.ผมรอคอยวันพรุ่งนี้..ในสภาวะของความบ้า.."

นวนิยายเรื่องนี้..ถูกเขียนขึ้นด้วยวิธีการที่ "ดอสโตเยฟสกี" ใช้วิธีให้ผู้บรรยายที่ไม่เปิดเผยชื่อเป็นผู้เล่าเรื่อง ภายใต้สถานะ"นักฝันแห่งใต้ถุนสังคม"..ชายผู้เป็นเจ้าของโรงรับจำนำผู้ตระหนี่ /เจ้าระเบียบ/อดีตนายทหารผู้ทระนงในศักดิ์ศรีของตน../  เขาลาออกจากกรมทหารฯ..เพราะปัญหาภายในกรม../เขาสำรวจความคิด..ความทรงจำของตัวเอง โดยพยายามทำความเข้าใจว่า..

“ทำไม..ภรรยาสาวของเขาในฐานะ"คนเจียมตัว"จึงเลือกที่จะจบชีวิตของเธอด้วยการ.."ฆ่าตัวตาย".."

“...คุณผู้หญิง...กำลังยืนอยู่ข้างๆกับผนังห้องใกล้กับหน้าต่าง..มือข้างหนึ่งแตะผนังห้อง ศรีษะของหล่อนแนบกับผนังห้อง หล่อนได้แต่ยืนอยู่ตรงนั้นและครุ่นคิด หล่อนกำลังครุ่นคิดอย่างหนักเสียจนได้ยินดิฉัน..ที่กำลังยืนดูหล่อนอยู่ในอีกห้องหนึ่ง..หล่อนกำลังยิ้ม กำลังยืนอยู่ตรงนั้น..ดิฉันเฝ้ามองหล่อนแล้วเดินหันหลังกลับออกไปอย่างเงียบๆ..ในใจก็คิดสงสัยเหมือนกัน..ทันใดนั้นเอง ดิฉันก็ได้ยินเสียงหน้าต่างกำลังเปิดออก..ครั้นแล้วก็เห็นหล่อนปีนขึ้นไปบนขอบหน้าต่างแล้วยืนตรง..โดยหันหลังให้ดิฉัน..

มือทั้งสองข้างประคองรูปเคารพไว้..ดิฉันใจหายวาบ จึงร้องตะโกนออกไปว่า.."คุณผู้หญิง..คุณผู้หญิง"..หล่อนได้ยินเสียงของดิฉัน แล้วทำท่าจะหันกลับมา..แต่กลับก้าวไปข้างหน้า..พลางกอดรูปเคารพไว้กับหน้าอก..แล้วกระโดดลงไปจากหน้าต่าง..!"

หล่อนตัดสินใจทำเช่นนี้ทำไม..นั่นคือปริศนาอันมืดดำและเป็นปมเงื่อนที่รัดแน่นของเรื่อง..แท้จริง..ชีวิตของคนเรามีปริศนามากมายให้ค้นหา.รวมทั้งห้วงขณะอันคอขาดบาดตายแห่งการตัดสินใจ..อะไรคืออะไรกันแน่?นั่นคือ..นัยแห่งปริศนา..! “ที่สำคัญ..คือพวกเขาจ้องมาที่ผม..ในตอนแรกมีเสียงร้องตะโกน..ต่อมาเสียงก็เงียบลงในบัดดล..ในขณะที่ทุกคนถอยออกมา...หล่อน..หล่อนนอนอยู่กับรูปเคารพ..ผมจำได้คล้ายๆกับมองผ่านผ้าห่มแห่งความมืด..ผมเดินไปหาหล่อนอย่างเงียบๆ..และจ้องมองหล่อนอยู่เป็นเวลานาน..

มีผู้คนมุงดูกันรอบๆ..มีการร้องตะโกนซ้ำไปว่า.."เลือดออกมาจากปากของหล่อน หนึ่งกำมือ..หนึ่งกำมือ" ผมคิดว่าผมได้แตะเลือดนั้นด้วยนิ้วชี้..มันเปื้อนเลือด..เมื่อมองดูที่นิ้วชี้..มีเสียงตะโกนดังขึ้นอีกว่า.."มันโหดร้ายทารุณ..มันโหดร้ายทารุณ.."..."

ภาพแห่งการฆ่าตัวตายของหญิงสาวผู้สงบเสงี่ยมเจียมตัว ผสมผสานกับความหวั่นเกรงของ “ดอสโตเยฟสกี..” มันเกี่ยวเนื่องกับความล้มละลายทางจิตวิญญาณของชีวิตคนร่วมสมัย ที่ก่อให้เกิดงานศิลปะที่มีความลุ่มลึกทางจิตวิทยาและปรัชญาอันยิ่งใหญ่..แม้ว่าการฆ่าตัวตายของ “หญิงสาวที่มีรูปเคารพประคองไว้ในมือทั้งสอง” ..ก็ถือว่าเป็นบทบาทรองในเรื่องเล่าของดอสโตเยฟสกี..ทั้งนี้เพราะ..จุดศูนย์กลางแห่งความสนใจอยู่ที่คู่ของหล่อน “เจ้าของโรงรับจำนำ” ผู้ชอบเก็บงำความคิดความรู้สึกไว้เฉพาะตัวเองและมีเจตนาร้าย..

"เราอยู่ในช่วงเวลา..ของม้าสีดำ ซึ่งเป็นม้าที่มีสารถี ถือตาชั่งอยู่ในมือข้างหนึ่ง..เนื่องจากในยุคสมัยของเรา ทุกสิ่งทุกอย่างถูกชั่งน้ำหนักให้ได้ดุล และบรรลุผลได้ด้วยข้อตกลง..ทุกคนแสวงหาส่วนแบ่งที่ควรได้รับเท่านั้น..ข่าวสาลีหนึ่งเครื่องตวงสำหรับหนึ่งแดนาริอุส..ข้าวบาร์เลย์อีกสามเครื่องตวง..จะเท่ากับความต้องการที่จะมีเสรีภาพทางจิตวิญญาณ..หัวใจอันบริสุทธิ์และร่างกายอันแข็งแรง รวมทั้งพรทั้งหลายทั้งปวงของพระเจ้าก็จะเพิ่มเข้าไปในนั้นด้วย..แต่พวกเขาไม่สามารถที่จะมีสิ่งเหล่านี้โดยสิทธิ์เพียงอย่างเดียว...และแล้ว..ม้าสีซีดก็จะวิ่งตามมา และเขาผู้มีนามว่า “ความตาย”..ก็จะไล่หลังตามเขามา “นรก”..."

“สิ่งทั้งปวง ถูกสาปไปจนหมดสิ้นแล้วจิตวิญญาณทั้งหมดตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านมา ในบูรณภาพทางวิทยาศาสตร์และในทางปฏิบัติ..บางทีมันอาจจะถูกสาปไปแล้ว..จริงๆ..”

ระหว่างชีวิต.. “ดอสโตเยฟสกี” รู้สึกวิตกกังวลมากถึงสิ่งที่เขาเรียกว่าเป็นการระบาดของ“อัตวินิบาตกรรม” ของคนรัสเซียในเวลานั้น..ซึ่งหมายรวมถึงลูกสาวของ “อเล็กซานเดอร์ เฮอร์เซ็น” นักสังคมนิยมผู้ยิ่งใหญ่ของรัสเซีย..สำหรับเขาแล้ว.. “การฆ่าตัวตายคือการสำแดงออกอันร้ายแรงที่สุด” ของการสูญเสียความหมายและการล้มละลายทางจิตวิญญาณของชีวิต..

“แผ่นดินารัสเซียดูเหมือนจะสูญเสียพลัง.ในอันที่จะโอบอุ้มจิตวิญญาณของชีวิตตนเองไปแล้ว..พลังชีวิตอย่างที่เราเรียกกัน ความรู้สึกกระตือรือร้นที่จะมีชีวิต..ซึ่งหากปราศจากมันแล้วล่ะก็  จะไม่มีสังคมใดที่ดำรงอยู่ได้..และแผ่นดินนั้นก็มีแนวโน้มว่าจะล่มสลาย..และจะปลาสนาการไปอย่างลึกลับ”

อันถือเป็นสัญญะว่า...สิ่งสำคัญยิ่งต่อการสูญเสียความหมายในสังคมร่วมสมัย..คือการพังทลายของความเชื่อทางศาสนา ลัทธิเหตุผลนิยมแบบวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ ตลอดจนวัตถุนิยมที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการมีอยู่อันคับแคบ และโยนเรื่องที่อาจไม่รู้เกี่ยวกับจิตวิญญาณอันอุดมสมบูรณ์ทิ้งไป”

เรื่องราวอันแปลกประหลาดของ “คนเจียมตัว” โบยตีสู่ก้นบึ้งแห่งจิตวิญญาณของเราด้วย “แส้หวาย” ของมิจฉาทิฐิ..มันคือรากลึกในตัวตนที่มิอาจเปิดเผยรอยร่างอันแม้จริงออกมาได้ เฉกเช่นเดียวกับการสามารถเฉลยเหตุผลเหนือการกระทำแห่งความคิดที่แสนจะทบซ้อน..เหมือนจะง่ายต่อการเข้าใจและยอมรับ/แต่ก็กลับพลิกพลิ้วเจตจำนง ซ่อนหลืบเอาไว้กับความมืดมนอนธการของโลกอันเร้นลับแห่งใจ

 นับเป็นประพันธกรรมที่น่าอ่านและชวนแกะรอยทางประพันธกรรมอย่างยิ่ง..ก่อนที่คุณค่าในชีวิตจะโดนหลอมละลายไปด้วยมายาคติ..นานา..!..

“ความผิดพลาดประการหนึ่ง..คือการมองหล่อนอย่างปลาบปลื้มดื่มด่ำมากจนทำให้หล่อนตกใจ..ผมควรจะยั้งไว้บ้าง..แต่ผมกำลังยั้งมือไว้อยู่แล้ว..ใช่ไหมล่ะ?...ผมหยุดจูบเท้าหล่อน..ผมไม่เคยแสดงตนว่าเป็น ..สามีของหล่อนแม้แต่ครั้งเดียว..นั่นไม่เคยอยู่ในหัวสมองของผมเลย ..ด้วยซ้ำไป!!”