วันที่ 27 มี.ค.2567 มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาฯคนที่สอง ทำหน้าที่ประธานในการประชุม ได้พิจารณาร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....  หรือ กมธ.สมรสเท่าเทียม ซึ่งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาเสร็จแล้ว

โดยนายดนุพร ปุณณกันต์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานกมธ.ชี้แจงต่อที่ประชุมว่า  ตามรัฐธรรมนูญฉบับ2560 ในมาตรา4 ได้กล่าวถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ว่า“ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคของบุคคลย่อมได้รับความคุ้มครอง”  ยืนยันว่าการแก้ไขไฉบับนี้เราทำเพื่อคนไทยทุกคน

ทั้งนี้กมธ.ที่ได้ตั้งขึ้นมาจากสส.จากหลายพรรคการเมือง มีการพิจารณาภายใต้ความหวังจากภาคประชาชนที่รอคอยว่าจะต้องผลักดันกฎหมายให้เร็วที่สุด ร่างฉบับนี้มีจำนวน68มาตรา โดยมี3ประเด็นสำคัญ 1.กมธ.เห็นว่าบทบัญญัติบางมาตราของพ.ร.บ.มีการใช้ถ้อยคำไม่สอดคล้องกับบริบทของสังคมในปัจจุบันจึงมีการปรับถ้อยคำให้เกิดความเหมาะสมเกิดความเท่าเทียมทางเพศ

2.กมธ.เห็นว่าเกณฑ์อายุขั้นต่ำในการหมั้น และการสมรส ของบุคคลควรกำหนดไว้ที่18ปีบริบูรณ์เพื่อให้ผู้ที่จะทำการหมั้นสมรส มีอายุพ้นจากการเป็นเด็ก เพื่อสอดคล้องกฎหมายในประเทศและการคุ้มครองสิทธิเด็กฯและเป็นไปตามอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กที่ประเทศไทยเป็นภาคี 3.กมธ.ได้เพิ่มบทบัญญัติใหม่1มาตรา เพื่อกำหนดให้คู่สมรสมีสิทธิ หน้าที่ ตามกฎหมายอื่นในฐานะสามี ภรรยา


อย่างไรก็ตามในกรณีที่กฎหมายฉบับใดกำหนดสิทธิ หน้าที่ สถานะทางกฎหมายหรือเรื่องอื่นใดแตกต่างกันหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องยังคงต้องทบทวนกฎหมายให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนดในร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ต่อไป

"วันนี้เราทราบดีว่าไม่ได้มีแค่เพศชาย เพศหญิงอีกต่อไป มีคนกลุ่มหนึ่งที่อาจเกิดเป็นเพศชายหรือเพศหญิง เขาเลือกเกิดไม่ได้แต่เลือกที่จะเป็นตามสิ่งที่เขาต้องการเพราะฉะนั้นกฎหมายฉบับนี้เราต้องการคืนสิทธิให้คนกลุ่มนี้ ไม่ใช่การให้สิทธิ แต่เป็นการคืนสิทธิที่เสียไป"


หลังจากมีการอภิปรายรายมาตราเสร็จสิ้นที่ประชุมลงมติให้ความเห็นชอบในวาระ3 ผลปรากฎว่า ที่ประชุม 399ต่อ10 เสียง งดออกเสียง 2 คน ไม่ลงคะแนน 3 คน

จากนั้นจะส่งให้วุฒิสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป